<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เจาะลึก ‘ค่าธรรมเนียม’ เทรดคริปโต และกลยุทธ์ที่ควรรู้ เพื่อช่วยทำกำไรได้มากขึ้น

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเวลาซื้อขายคริปโตทีไร ตัวเลขค่าธรรมเนียมเล็ก ๆ ที่โผล่มาในประวัติทำรายการ ถึงทำให้กำไรของเราลดลงแบบไม่รู้ตัว ? จริงอยู่ว่า ค่าธรรมเนียมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมจ่ายแบบไม่คิดอะไร เพราะถ้าหากเข้าใจวิธีการคิดค่าธรรมเนียมให้ลึกซึ้ง เราจะสามารถ “เซฟเงิน” ไปได้เยอะกว่าที่คิด 

ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนคุณไปเดินตลาดสด ถ้ารีบควักเงินจ่ายทันทีแบบไม่ต่อราคา (market order) กับพ่อค้า คุณก็จะได้ของในราคาสูงกว่าคนที่ใจเย็น รอจังหวะและต่อรองราคา (limit order) ที่จะได้ราคาที่ถูกกว่า การเทรดคริปโตก็ทำงานด้วยหลักการเดียวกันนี่แหละ

ในบทความนี้ ทางสยามบล็อกเชน จะพาคุณไปเคลียร์ทุกประเด็นเกี่ยวกับ “ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายคริปโต” สำหรับมือใหม่ว่า มีรูปแบบไหนบ้าง ควรระวังอะไร และมีกลยุทธ์อย่างไรที่จะช่วยให้คุณจ่ายน้อยลง แต่ยังได้ประโยชน์มากขึ้น มาดูกันเลย

ทำความรู้จักกับคำสั่ง Maker และ Taker

ที่มาภาพ : achievable

ในการซื้อขายคริปโต มีคำสั่งหลัก 2 ประเภท ที่ส่งผลต่อค่าธรรมเนียมอย่างมีนัยสำคัญ คือ คำสั่ง Maker และ คำสั่ง Taker ซึ่งเปรียบได้กับการซื้อขายในตลาดสดจริง ๆ 

คำสั่ง Maker เป็นเหมือนพ่อค้าที่ตั้งราคาขายไว้ล่วงหน้าและรอให้มีคนมาซื้อ เรียกว่า การใช้คำสั่ง Limit Order ตัวอย่างเช่น หากราคา Bitcoin อยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ แต่คุณต้องการซื้อที่ 29,800 ดอลลาร์ คุณก็สร้างคำสั่งซื้อไว้ที่ราคา 29,800 ดอลลาร์ แล้วรอให้ราคาร่วงลงมาแตะ 29,800 ดอลลาร์ ซึ่งการดำเนินการแบบนี้ จะทำให้คุณได้รับค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า เพราะคุณได้ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด

ที่มาภาพ : learn.bybit

ส่วนคำสั่ง Taker เป็นเหมือนลูกค้าที่เดินเข้าไปในร้าน และซื้อในราคาที่ป้ายบอกทันที เรียกว่า การใช้คำสั่ง Market Order ตัวอย่างเช่น หากคุณเห็นราคา Bitcoin อยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ และต้องการซื้อในทันที คุณก็กดซื้อในราคาที่มีอยู่ในตลาด ณ ขณะนั้น ซึ่งการซื้อขายแบบนี้จะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่า เนื่องจากคุณเป็นฝ่ายที่ใช้สภาพคล่องที่มีอยู่ในตลาดนั่นเอง

ที่มาภาพ : centerpointsecurities

ตัวเลขจริงจากในตลาด 

จากข้อมูลล่าสุด ค่าธรรมเนียมในแต่ละแพลตฟอร์มมีความแตกต่างกันอย่างมาก ในแพลตฟอร์ม MEXC การเทรดแบบ Spot ได้เสนอค่าธรรมเนียม 0% สำหรับคำสั่ง Maker และมีค่าธรรมเนียม 0.02% สำหรับคำสั่ง Taker 

ในขณะที่ค่าธรรมเนียมสำหรับคำสั่ง Maker บนแพลตฟอร์ม Kraken เริ่มต้นที่ 0.20% สำหรับคู่เทรด Stablecoin และคู่เทรด FX (Foreign Exchange) โดยค่าธรรมเนียมสามารถลดลงได้จนเหลือ 0.00% ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณการเทรดของคุณในช่วง 30 วันที่ผ่านมา

ตัวอย่างการซื้อขาย Bitcoin มูลค่า 10,000 USDT :

  • หากใช้แพลตฟอร์ม MEXC และใช้คำสั่งเป็น Maker มีค่าธรรมเนียม = 0 USDT
  • หากใช้แพลตฟอร์ม MEXC และใช้คำสั่งเป็น Taker มีค่าธรรมเนียม = 2 USDT
  • หากใช้แพลตฟอร์มทั่วไป มีค่าธรรมเนียม 0.25% ในคำสั่ง Maker และ มีค่าธรรมเนียม 0.40% ในคำสั่ง Taker

หรือคำสั่ง Maker มีค่าธรรมเนียม 25 USDT และ คำสั่ง Taker  มีค่าธรรมเนียม 40 USDT

กลยุทธ์ประหยัดค่าธรรมเนียม

ที่มาภาพ : blueberrymarkets

1. ใช้คำสั่งแบบ Limit Order คุณสามารถกำหนดราคาที่คุณต้องการซื้อขายได้เอง

การใช้คำสั่ง Limit Order แทน การใช้คำสั่ง Market Order เพื่อกำหนดราคาที่คุณต้องการซื้อหรือขาย ถึงแม้จะต้องรอสักหน่อย แต่จะช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมได้มาก

2. เลือกแพลตฟอร์มการเทรดที่เหมาะสม 

สำหรับแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตที่ค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดในการซื้อ Bitcoin คือ แพลตฟอร์ม MEXC, Bitget, Gate.io, KuCoin, Binance, และ HTX เนื่องจากมีค่าธรรมเนียมการเทรดต่ำ และไม่มีค่าธรรมเนียมการถอนเงิน ซึ่งการเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมระหว่างแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะสามารถช่วยประหยัดเงินได้มาก

3. เพิ่มปริมาณการซื้อขาย เพื่อลดค่าธรรมเนียม 

โดยปกติแล้ว ยิ่งคุณมีปริมาณและความถี่ในการซื้อขายสูงเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมที่คุณต้องจ่ายก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น หลายแพลตฟอร์มมีระบบลดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ที่ซื้อขายในปริมาณมาก

4. ใช้ Native Token ของแพลตฟอร์ม 

อีกวิธีในการลดค่าธรรมเนียมคือ การใช้ Native Token ของแพลตฟอร์มนั้นๆ ในการชำระค่าธรรมเนียม เช่น Binance ให้ส่วนลดเมื่อชำระค่าธรรมเนียมด้วยเหรียญ BNB หรือ KuCoin ที่ให้ส่วนลด เมื่อใช้เหรียญ KCS นอกจากนี้ การเทรดในปริมาณที่สูง ยังช่วยให้คุณได้รับส่วนลดเพิ่มขึ้นตามระดับการเทรดของแต่ละแพลตฟอร์มด้วย

ข้อควรระวังเรื่องกลยุทธ์ DCA

ที่มาภาพ : coindesk

หากคุณใช้กลยุทธ์ DCA หรือการทยอยซื้อสินทรัพย์เป็นงวด ๆ การใช้คำสั่ง Market Order บ่อยครั้ง จะทำให้คุณต้องเสียค่าธรรมเนียมสะสมในปริมาณมาก ตัวอย่างเช่น หากคุณ DCA Bitcoin ทุกสัปดาห์ ด้วยเงิน 1,000 USDT เป็นเวลา 1 ปี (หรือ 52 ครั้ง) และมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.25% คุณจะเสียค่าธรรมเนียมรวมทั้งหมด 130 USDT แต่หากใช้คำสั่ง Limit Order คุณจะเสียค่าธรรมเนียมเพียง 0-65 USDT เท่านั้น จะเห็นได้ว่า การใช้คำสั่ง Limit Order จะทำให้คุณเสียค่าธรรมเนียมน้อยลงกว่าการใช้คำสั่ง Market Order เยอะมาก

DEX vs CEX: ทางเลือกสำหรับการลดค่าใช้จ่าย

โดยทั่วไปแล้ว Decentralized exchanges (DEXs) จะคิดค่าธรรมเนียมการเทรดที่ต่ำซึ่งมักจะอยู่ระหว่าง 0.1% ถึง 0.5% 

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอีกอย่างในการใช้ Dex คือเรื่องค่าธรรมเนียม Gas ของเครือข่ายแต่ละเครือข่าย ซึ่งสิ่งนี้อาจเพิ่มค่าใช้จ่ายแฝงในการทำเทรดให้กับคุณได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เครือข่ายมีการใช้งานแออัด อย่างเช่นเครือข่าย Ethereum 

สรุป

ค่าธรรมเนียมการซื้อขายคริปโตไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถบริหารจัดการและลดให้เหลือน้อยที่สุดได้ ด้วยการทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างการใช้คำสั่ง Maker และ Taker  รวมถึงการเลือกแพลตฟอร์มเทรดที่เหมาะสม และการวางกลยุทธ์การซื้อขายที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิของคุณในระยะยาวได้

ซึ่งในโลกของการลงทุน ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณประหยัดได้ ก็คือผลกำไรที่เพิ่มขึ้น การใช้เวลาทำความเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียม จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับนักลงทุนทุกคน

ลิงก์ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่มาภาพ : cyptotech