<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ยักษ์ใหญ่ Wall Street เอาด้วย! Morgan Stanley ประกาศเปิดเทรด ‘คริปโต’ บน E*Trade ปี 2026

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในที่สุด การรอคอยของนักลงทุนรายย่อยในสหรัฐฯ ก็ใกล้สิ้นสุดลง เมื่อ Morgan Stanley สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่แห่ง Wall Street ได้ประกาศการขยับตัวครั้งประวัติศาสตร์ เตรียมเปิดให้ลูกค้าบนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง E*Trade สามารถซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลได้โดยตรง ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าคริปโตได้ก้าวเข้าสู่กระแสหลักของโลกการลงทุนอย่างเต็มตัว

จะเทรดอะไรได้บ้าง และเริ่มเมื่อไหร่?

โฆษกของ Morgan Stanley ยืนยันว่าบริการใหม่นี้จะเริ่มต้นภายใน ครึ่งแรกของปี 2026 โดยในช่วงแรกจะประเดิมด้วย 3 เหรียญหลักที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้แก่

  • Bitcoin (BTC)
  • Ether (ETH)
  • Solana (SOL)

เบื้องหลังดีล ไม่ใช่แค่พาร์ทเนอร์ แต่เป็นผู้ร่วมลงทุน

Morgan Stanley ไม่ได้สร้างระบบเทรดคริปโตขึ้นมาเอง แต่เลือกที่จะจับมือกับ Zerohash ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล

ที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่แค่การจ้างบริษัทมาทำระบบ แต่ Morgan Stanley ยังได้เข้าร่วมลงทุนใน Zerohash ในรอบระดมทุนล่าสุดที่ทำให้ Zerohash กลายเป็นบริษัทระดับ “ยูนิคอร์น” (มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์) อีกด้วย การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจริงจังกับตลาดคริปโตในระยะยาว ไม่ใช่แค่การเข้ามาตามกระแส

ทำไมต้องตอนนี้? ‘สงครามโบรกเกอร์’ และยุคทรัมป์เปิดทาง

การตัดสินใจครั้งนี้มีแรงผลักดันสำคัญ 2 ประการ

  1. สงครามแพลตฟอร์มเทรด ETrade กำลังถูกคู่แข่งชิงส่วนแบ่งตลาดไป โดยเฉพาะ Robinhood ที่เปิดให้เทรดคริปโตโดยตรงมานานแล้ว และ Charles Schwab ที่มีกองทุน ETF ด้านคริปโต หาก ETrade ไม่ปรับตัว ก็อาจสูญเสียลูกค้าที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้
  2. นโยบายที่เปิดกว้าง การที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีท่าทีที่เป็นมิตรและเปิดกว้างต่อกฎระเบียบด้านคริปโต ถือเป็นการส่ง “ไฟเขียว” ให้บริษัทการเงินขนาดใหญ่ที่เคยลังเล กล้าที่จะกระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างมั่นใจมากขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครสามารถเมินตลาดที่มีขนาดใหญ่ถึง 3.9 ล้านล้านดอลลาร์ ได้อีกต่อไป การลงมาเล่นในสนามนี้ของ Morgan Stanley จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนรายย่อยที่มีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายและน่าเชื่อถือมากขึ้น

ที่มา: reuters