SWIFT เครือข่ายการเงินระหว่างประเทศ ประกาศความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เดินหน้าพัฒนา shared digital ledger บนเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อรองรับการชำระเงินข้ามพรมแดน เรียลไทม์ 24/7 ครอบคลุมกว่า 200 ประเทศ โดยมีพันธมิตรหลักอย่าง JPMorgan, HSBC, Bank of America และสถาบันการเงินชั้นนำรวมกว่า 30 แห่งเข้าร่วมออกแบบโครงสร้างพื้นฐานใหม่นี้ การพัฒนาระยะต้นจะใช้เทคโนโลยีจาก Consensys ผู้นำด้าน Ethereum มาช่วยสร้างต้นแบบระบบ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกจับตาว่าอาจเปลี่ยนสมการในตลาดชำระเงินดิจิทัลและท้าทายโปรเจกต์ที่เคยถูกคาดหวังอย่าง XRPเพราะ SWIFT มีจุดแข็งเรื่องเครือข่ายสถาบันการเงินกว่า 11,000 แห่งใน 220 ประเทศ และความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานความปลอดภัยที่ธนาคารทั่วโลกใช้มาเกิน 40 ปี นักวิเคราะห์หลายสำนัก รวมถึง CCN.com ชี้ว่า SWIFT อาจกลายเป็น “ultimate settlement layer” ที่รวมระบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีใหม่ได้เหนือกว่าผู้เล่นเดิมในตลาดคริปโต
ฝั่งโซเชียลก็ไม่เงียบ หลังข่าวออกไปไม่นาน บัญชีผู้ใช้บน X (Twitter) ถกเถียงกันหนัก บางคนมองว่า “ XRP ไม่เคยถูกเลือกจริง” และที่ผ่านมาเป็นเพียงการตลาด ในขณะที่บางเสียงเชื่อว่า XRP อาจ “กินส่วนแบ่ง SWIFT ได้ 15–20%” แต่จะไม่สามารถโค่นระบบที่ฝังรากมานานได้ง่าย ความเห็นหนึ่งระบุว่า “SWIFT ครองตลาดมาเกิน 40 ปี ไม่จำเป็นต้องเป็นทางออกเดียว แต่ยากที่ใครจะแข่งขันได้”
นอกจากนี้ การร่วมมือกับ Consensys ยังบ่งชี้ว่าโครงสร้างใหม่อาจรองรับสินทรัพย์ที่ผ่านการกำกับดูแล เช่น regulated stablecoins และสินทรัพย์ tokenized รูปแบบต่าง ๆ ขณะที่ J.P. Morgan นำประสบการณ์จากโครงการ Kinexys proof-of-concept บน public blockchain มาใช้เพื่อออกแบบระบบที่ผสมผสาน legacy finance กับ เทคโนโลยีใหม่ ได้ลื่นไหลและเป็นไปตามข้อกำกับ
Javier Pérez-Tasso ซีอีโอ SWIFT ย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการ “อัปเกรดรางเดิมและสร้างรางใหม่” ให้โอนเงินทั่วโลกเร็วขึ้น ปลอดภัย และเชื่อมโลกการเงินแบบเก่าเข้ากับโครงสร้างดิจิทัล พร้อมเปิดทางให้ธนาคารและผู้เล่นในตลาดเลือกใช้นวัตกรรมได้มากกว่าเดิม
ที่มา: @WhaleInsider , @Amoaning_samuel , swift