<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ผลกระทบชัตดาวน์! ก.ล.ต. สหรัฐฯ ‘เบรก’ การอนุมัติ Crypto ETF ทั้งหมด ไม่มีกำหนด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะปิดทำการชั่วคราว หรือ “ชัตดาวน์” (Shutdown) อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ ล่าสุด คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ได้ประกาศลดขนาดการดำเนินงานลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมคริปโต โดยกระบวนการพิจารณาและอนุมัติกองทุน Crypto ETF ที่หลายคนรอคอย จะถูก “ระงับไว้ชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด” จนกว่าสภาคองเกรสจะผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้สำเร็จ

“หยุดรีวิว-หยุดอนุมัติ” SEC เข้าสู่โหมดจำเป็น

ในเอกสารแผนการดำเนินงานช่วงชัตดาวน์ SEC ระบุชัดเจนว่าจะระงับกิจกรรมที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนทั้งหมด ซึ่งรวมถึง

  • การตรวจสอบหรืออนุมัติคำขอผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ (ซึ่งรวมถึง Crypto ETF)
  • การตรวจสอบหรืออนุมัติการเปลี่ยนแปลงกฎขององค์กรที่กำกับดูแลตนเอง (SRO)
  • การตรวจสอบหรือเร่งรัดการมีผลบังคับใช้ของเอกสารแสดงข้อมูลการจดทะเบียน (เช่น เอกสาร S-1 ของกองทุน ETF)

การประกาศนี้หมายความว่าความหวังที่จะได้เห็นการเปิดตัวกองทุน ETF ใหม่ๆ ในเดือนตุลาคม หรือที่หลายคนเรียกว่า “ETF Cryptober” อาจจะต้องถูกเลื่อนออกไปก่อน

Litecoin, Solana, XRP ETFs คือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

การระงับกระบวนการของ SEC ครั้งนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกองทุน ETF หลายตัวที่กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายและใกล้ถึงเส้นตายในการอนุมัติ ได้แก่

  • Litecoin ETFs ซึ่งมีกำหนดเส้นตายในสัปดาห์นี้
  • Solana ETFs มีกำหนดเส้นตายในสัปดาห์หน้า
  • XRP ETFs มีกำหนดเส้นตายในเวลาต่อมา

เจมส์ เซฟฟาร์ต (James Seyffart) นักวิเคราะห์จาก Bloomberg ได้เคยเตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลอาจทำให้กระบวนการอนุมัติมีความซับซ้อนและล่าช้าออกไป

จะลากยาวแค่ไหน? มุมมองจากตลาดและทำเนียบขาว

คำถามสำคัญที่สุดในตอนนี้คือภาวะชัตดาวน์จะดำเนินต่อไปนานเพียงใด

  • มุมมองตลาด ข้อมูลจากแพลตฟอร์มคาดการณ์ Polymarket ชี้ว่า มีโอกาสสูงถึง 70% ที่ภาวะชัตดาวน์จะลากยาวนาน 10 วันหรือมากกว่านั้น
  • มุมมองทำเนียบขาว โฆษกทำเนียบขาวและรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ (JD Vance) ได้ออกมาให้ความเชื่อมั่นว่ากำลังทำงานอย่างเต็มที่เพื่อยุติสถานการณ์โดยเร็ว และไม่คาดว่าจะยืดเยื้อ

อนาคตของกองทุน Crypto ETF ในระยะสั้นนี้จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านตลาดหรือกฎระเบียบอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับการเจรจาทางการเมืองในวอชิงตันเพียงอย่างเดียว

ที่มา: SEC