<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ใครคือเจ้าของ ChatGPT ตัวจริง ? อาจไม่ใช่ Sam Altman อย่างที่คุณคิด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เวลาพูดถึง ChatGPT หลายคนมักจะนึกถึงชื่อ Sam Altman ซีอีโอหนุ่มแห่ง OpenAI ที่หน้าตาดูสุขุม แต่จริงๆ แล้ว ChatGPT ไม่ใช่ผลงานของเขาคนเดียว และอาจพูดได้ว่า Sam Altman ไม่ใช่ “คนสร้าง” ChatGPT ตัวจริง ถ้าจะหาว่าใครคือคนที่อยู่เบื้องหลังการสร้าง AI ที่โด่งดังที่สุดในโลกตัวนี้ เราต้องขุดคุ้ยเรื่องราวย้อนกลับไปหลายปี และพบว่ามีคนอีกหลายคนที่ควรได้รับเครดิตไม่แพ้กัน

Sam Altman: นักการเงินที่กลายเป็นใบหน้าของ OpenAI

Sam Altman ไม่ใช่นักวิจัย AI เขามาจากสายสตาร์ทอัพ เคยทำ Y Combinator มาก่อน จุดแข็งของเขาคือ “การเล่าเรื่อง” และ “การระดมทุน” มากกว่าการนั่งเขียนโค้ด AI ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเขาเป็น “คนสร้าง ChatGPT” ก็คงไม่ถูกนัก แต่จะบอกว่าเขาเป็นคนทำให้ ChatGPT โด่งดังไปทั่วโลก ก็คงไม่ผิด

ความสามารถของ Sam อยู่ที่การมองเห็นภาพใหญ่ การเจรจาธุรกิจกับยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และการทำให้โลกเชื่อว่า OpenAI กำลังสร้างอนาคตของมนุษยชาติ เขาเป็นคนที่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจและใช้งานได้ และนี่คือเหตุผลที่เขากลายเป็นใบหน้าของ ChatGPT ในสายตาสาธารณะ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นคนเขียนโค้ดของระบบนี้ก็ตาม

Ilya Sutskever: มหาปราชญ์แห่ง AI ที่คนไม่ค่อยรู้จัก

ถ้าจะหาคนที่ใกล้เคียงกับคำว่า “พ่อของ ChatGPT” จริงๆ ต้องพูดถึง Ilya Sutskever อดีต Chief Scientist ของ OpenAI เขาเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของ Geoffrey Hinton ผู้ได้รับฉายา Godfather of AI และเป็นมันสมองเบื้องหลังโมเดล Deep Learning ยุคใหม่ Ilya คือคนที่ช่วยพัฒนาแนวคิด Transformer ที่เป็นหัวใจของ GPT series ซึ่งต่อมากลายเป็น ChatGPT ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้

แต่เรื่องราวของ Ilya กับ OpenAI ก็ไม่ได้จบลงอย่างสวยงาม ในเดือนพฤษภาคม 2024 เขาประกาศลาออกจาก OpenAI หลังจากทำงานมาเกือบ 10 ปี และไปตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Safe Superintelligence ที่มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยของ AI ระดับสูง การจากไปของเขาทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า OpenAI ยังคงยึดมั่นในเป้าหมายเดิมอยู่หรือไม่ เพราะ Ilya เป็นหนึ่งในคนที่เคร่งครัดเรื่องความปลอดภัยของ AI มากที่สุด

John Schulman: นักวิจัยเงียบๆ แต่คือผู้ปั้น RLHF

อีกบุคคลหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นข่าว แต่สำคัญไม่แพ้กัน คือ John Schulman นักวิจัยของ OpenAI ที่คิดค้นเทคนิค RLHF (Reinforcement Learning from Human Feedback) ที่ทำให้ ChatGPT “คุยเหมือนกับคน” ไม่ใช่แค่พ่นข้อความยาวๆ ออกมาเหมือนหุ่นยนต์ เพราะ RLHF สอนให้โมเดลตอบในแบบที่มนุษย์ชอบฟัง มันคือเทคนิคที่ทำให้ ChatGPT แตกต่างจาก AI ตัวอื่น ๆ ในตลาด

แต่แล้วในเดือนสิงหาคม 2024 John Schulman ก็ตัดสินใจลาออกจาก OpenAI เช่นกัน เขาย้ายไปทำงานที่ Anthropic บริษัทคู่แข่งที่สร้าง Claude AI เพราะต้องการกลับไปทำงานวิจัยแบบลงมือทำจริงๆ และมุ่งเน้นเรื่อง AI alignment มากขึ้น แต่พอมาถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เขากลับลาออกจาก Anthropic อีกครั้ง ไปตั้งบริษัทใหม่ของตัวเอง เรื่องราวของเขาแสดงให้เห็นว่าแม้แต่คนสร้าง ChatGPT เองก็ยังมีวิสัยทัศน์และทิศทางที่แตกต่างจาก OpenAI ในปัจจุบัน

Greg Brockman และทีมวิศวกรผู้อยู่เบื้องหลัง

นอกจากนี้ยังมี Greg Brockman ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ที่เป็นอดีต CTO ของ Stripe เขาเป็นคนวางระบบวิศวกรรมเบื้องหลังทั้งหมด ให้ ChatGPT ไม่ใช่แค่โมเดลวิจัยในห้องแล็บ แต่กลายเป็นเว็บแอปที่ใครๆ ก็เข้ามาใช้ได้ในชั่วข้ามคืน Greg เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกของการวิจัย AI ขั้นสูงกับโลกของผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้งานได้จริง

และแน่นอนว่ายังมีทีมวิศวกรและนักวิจัยอีกหลายร้อยคนที่ชื่อไม่เป็นข่าว แต่ทุ่มเทเวลาและความสามารถให้กับการพัฒนา ChatGPT จนเป็นรูปเป็นร่างมาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาคือคนที่เขียนโค้ด ปรับแต่งโมเดล ทดสอบระบบ และแก้ไขบั๊กนับไม่ถ้วนทั้งกลางวันกลางคืน

เส้นทางกำเนิด ChatGPT: จากห้องแล็บสู่กระแสโลก

ที่มาภาพ : Techtarget

2015 – จุดเริ่มต้นของ OpenAI

ทุกอย่างเริ่มต้นในเดือนธันวาคม 2015 เมื่อกลุ่มคนที่กังวลเรื่องอนาคตของ AI รวมตัวกันก่อตั้ง OpenAI ขึ้นมา มีทั้ง Elon Musk เจ้าพ่อเทคโนโลยีผู้ล้ำหน้า, Sam Altman จาก Y Combinator, Greg Brockman อดีต CTO ของ Stripe, Ilya Sutskever นักวิจัย AI ระดับเทพ และอีกหลายคนที่มีชื่อเสียงในวงการ

ตอนนั้น OpenAI ถูกตั้งขึ้นเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ประกาศวิสัยทัศน์ว่า “สร้าง AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ” ไม่ใช่เพื่อทำเงิน ยังไม่มีใครนึกหรอกว่า 7 ปีต่อมา โลกจะพูดถึง ChatGPT กันทั้งเมือง พวกเขาระดมทุนได้ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์จากการบริจาคของมหาเศรษฐี โดยมีเป้าหมายที่ดูแทบเป็นไปไม่ได้ คือการสร้าง AGI หรือ Artificial General Intelligence ที่ฉลาดเท่ามนุษย์หรือเหนือกว่า

2018 – GPT-2: โมเดลที่น่ากลัวจนไม่กล้าเปิดหมด

มาถึงปี 2018 OpenAI เปิดตัวโมเดล GPT-2 ที่สร้างข้อความได้เหมือนมนุษย์จนหลายคนตกใจ ตอนแรก OpenAI ไม่กล้าเปิดให้สาธารณะใช้เต็มๆ เพราะกลัวถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น สร้างข่าวปลอม หรือสแปมอัตโนมัติ นี่คือจุดเริ่มต้นที่โลกเริ่มมองว่า “โอ้โห AI มันเขียนได้ขนาดนี้แล้วเหรอ”

ปีเดียวกันนี้เอง Elon Musk ตัดสินใจถอนตัวจาก OpenAI เนื่องจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัท Tesla ที่กำลังพัฒนา AI สำหรับรถยนต์อยู่ การจากไปของ Elon เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทำให้ OpenAI เริ่มขาดแคลนเงินทุนอย่างหนัก

2019 – เปลี่ยนเกมส์: จาก Nonprofit สู่ Capped-Profit

ปี 2019 คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ OpenAI ประกาศเปลี่ยนโครงสร้างเป็นแบบไฮบริด สร้างบริษัทแสวงหากำไรขึ้นมาคู่กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเดิม ตัดสินใจนี้เกิดจากความจริงอันโหดร้าย คือการวิจัย AI ระดับแนวหน้ามันแพงมหาศาล การเทรนโมเดล AI ต้องใช้คอมพิวเตอร์ระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ นับหมื่นตัว ค่าไฟฟ้าเดือนละหลายล้านดอลลาร์ Nonprofit แบบดั้งเดิมมันเอาไม่อยู่จริงๆ

Microsoft ก็เข้ามาในจังหวะนี้พอดี โดยลงทุนครั้งแรก 1 พันล้านดอลลาร์ เป็นการเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง แต่โครงสร้างใหม่นี้ก็มีเงื่อนไขแปลกๆ คือผลตอบแทนของนักลงทุนจำกัดไว้แค่ 100 เท่าของเงินลงทุน ซึ่งในโลกของสตาร์ทอัพมันผิดปกติมาก ปกติแล้วนักลงทุนอยากได้ผลตอบแทนไม่จำกัด แต่ OpenAI ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดยังคงอยู่ที่องค์กร Nonprofit เดิม

2020 – GPT-3: โมเดลที่เขียนได้ทุกอย่าง

มาถึงปี 2020 GPT-3 ถูกเปิดตัว และมันเป็นการปฏิวัติจริงๆ GPT-3 มี 175 พันล้านพารามิเตอร์ ใหญ่กว่า GPT-2 ถึง 100 เท่า มันเขียนบทความ แต่งกลอน แปลภาษา หรือแม้แต่เขียนโค้ดได้ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน นักพัฒนาเริ่มนำ GPT-3 ไปต่อยอดเป็นแอปพลิเคชันต่างๆ มากมาย

แต่ตอนนี้ GPT-3 ยังไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปใช้แบบฟรีๆ มันถูกปล่อยออกมาเป็น API ที่ต้องเสียเงินต่อการใช้งาน และมีเฉพาะนักพัฒนาหรือบริษัทเท่านั้นที่เข้าถึงได้ โลกเริ่มเห็นว่า AI สามารถทำอะไรได้มากขนาดไหน แต่ยังไม่ใช่ปรากฏการณ์ระดับโลกที่ต้องรออีก 2 ปี

2022 – ChatGPT เปิดตัวแบบฟรีๆ และเปลี่ยนโลกไปตลกาล

30 พฤศจิกายน 2022 OpenAI ปล่อย ChatGPT เวอร์ชันทดลองให้คนใช้ฟรี และแล้วโลกเปลี่ยนไป ใน 5 วันแรกมีผู้ใช้ 1 ล้านคน เร็วกว่า Instagram ที่ใช้เวลา 2 เดือน เร็วกว่า Facebook ที่ใช้เวลา 10 เดือน มันเป็นการเติบโตที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต

กระแสนี้ทำให้ ChatGPT กลายเป็นไวรัลโลกทันที นักเรียนใช้ทำการบ้าน โปรแกรมเมอร์ใช้เขียนโค้ด นักเขียนใช้เป็นแรงบันดาลใจ แม้แต่ทนายความก็เริ่มใช้มันค้นหาข้อมูลทางกฎหมาย ภายในเดือนเดียว ChatGPT มีผู้ใช้ 100 ล้านคน ทำลายสถิติแอปพลิเคชันที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แซงหน้า TikTok ที่ใช้เวลา 9 เดือน

Microsoft เห็นโอกาสนี้ทันที ในเดือนมกราคม 2023 พวกเขาประกาศลงทุนเพิ่มอีกหมื่นล้านดอลลาร์ นี่เป็นการลงทุนที่ใหญ่มหาศาล และทำให้ Microsoft กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ OpenAI ทันที พวกเขาไม่เพียงแค่ลงทุน แต่ยังนำเทคโนโลยีของ OpenAI ไปผนวกเข้ากับผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เช่น Bing และ Microsoft 365

2023 – ChatGPT Plus และ GPT-4: ยุคของการทำเงิน

กุมภาพันธ์ 2023 OpenAI เปิดตัว ChatGPT Plus เวอร์ชันเสียเงิน ราคา 20 ดอลลาร์ต่อเดือน มีความเร็วกว่า ตอบโจทย์มากกว่า และเข้าถึงได้แม้เวลาเว็บล่ม ตามมาด้วย GPT-4 ในเดือนมีนาคม ที่ฉลาดและปลอดภัยกว่า GPT-3.5   สามารถเข้าใจภาพ ตอบคำถามซับซ้อน และให้เหตุผลได้ดีกว่า 

ตั้งแต่นี้เป็นต้นมา ChatGPT กลายเป็นเครื่องมือหลักของนักเรียน นักเขียน โปรแกรมเมอร์ ไปจนถึงนักข่าว มหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มตั้งคำถามว่าจะจัดการกับนักศึกษาที่ใช้ ChatGPT ทำการบ้านอย่างไร บริษัทต่างๆ เริ่มนำ ChatGPT มาใช้ในการทำงาน ตั้งแต่เขียนอีเมล ทำรายงาน ไปจนถึงวิเคราะห์ข้อมูล

พฤศจิกายน 2023 – โลกตะลึง: Sam Altman ถูกไล่ออก

แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่โลกไม่คาดคิด วันที่ 17 พฤศจิกายน 2023 Sam Altman ถูกคณะกรรมการ OpenAI ปลดออกจากตำแหน่ง CEO อย่างกะทันหัน เหตุผลที่บอร์ดให้คือ Sam “ไม่โปร่งใสในการสื่อสารกับบอร์ดอย่างสม่ำเสมอ” ข่าวนี้ตกเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ในวงการเทค

ภายในองค์กรเกิดแผ่นดินไหวทันที พนักงานกว่า 700 คนจาก 770 คนออกมาลงชื่อคัดค้าน ขู่ว่าจะลาออกหมู่ถ้าไม่ให้ Sam กลับมา Ilya Sutskever ที่เป็นหนึ่งในคนโหวตให้ไล่ Sam ออก กลับกลายเป็นคนแรกที่ลงชื่อขอให้ Sam กลับมา Microsoft เองก็ออกมาสนับสนุน Sam อย่างเต็มที่ Satya Nadella CEO ของ Microsoft บอกว่าถ้า OpenAI ไม่เอา Sam กลับ Microsoft พร้อมรับเขาไปทำงานพร้อมทีม

สุดท้าย ภายใน 5 วัน Sam Altman กลับมานั่ง CEO อีกครั้ง บอร์ดเดิมเกือบทั้งหมดลาออก เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์สูง เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่แท้จริงของ OpenAI ถึงแม้องค์กร Nonprofit จะมีอำนาจตามกฎหมาย แต่พอพนักงานและนักลงทุนใหญ่อย่าง Microsoft รวมตัวกัน บอร์ดก็ต้องยอม

2024 – ปีแห่งการจากลา: Ilya และ John ออกจาก OpenAI

พฤษภาคม 2024 Ilya Sutskever ประกาศลาออกจาก OpenAI หลังเกือบ 10 ปี เขาบอกว่าต้องการไปทำโปรเจกต์ใหม่ที่สำคัญกับตัวเองมาก และในเดือนมิถุนายน เขาก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Safe Superintelligence ร่วมกับ Daniel Gross และ Daniel Levy มุ่งเน้นการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยที่สุด

สิงหาคม 2024 John Schulman ก็ตามรอยไป ประกาศลาออกจาก OpenAI ไปร่วมงานกับ Anthropic คู่แข่ง บอกว่าต้องการกลับไปทำงานวิจัยลงมือจริงมากขึ้น และมุ่งเน้นเรื่อง AI alignment แต่พอมาถึงกุมภาพันธ์ 2025 เขากลับลาออกจาก Anthropic อีกครั้ง ไปตั้งบริษัทใหม่ของตัวเอง

การจากไปของคนเหล่านี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า OpenAI ยังคงยึดมั่นในภารกิจเดิมหรือไม่ หรือกำลังเอนเอียงไปทางธุรกิจมากเกินไป ในช่วงเวลาเดียวกัน OpenAI ก็ระดมทุนได้ 6.6 พันล้านดอลลาร์ โดยมีมูลค่าองค์กรที่ 157 พันล้านดอลลาร์ มีนักลงทุนหลักคือ Microsoft, Nvidia, SoftBank, Sequoia Capital, Andreessen Horowitz และอีกมากมาย

2025 – ChatGPT กลายเป็นเครื่องมือประจำวัน

จากแค่แอปทดลอง ตอนนี้ ChatGPT กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนนับล้าน ไม่ว่าจะถามการบ้าน วางแผนทริป เขียนบทความ ทำงานวิจัย หรือแม้แต่คิดกลยุทธ์เทรดคริปโต ก็ใช้มันได้หมด โลกไม่ได้ถามว่า “คุณใช้ ChatGPT หรือเปล่า” แต่ถามว่า “คุณใช้ ChatGPT ทำอะไรอยู่”

ในเดือนพฤษภาคม 2025 OpenAI ประกาศว่าจะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กร Nonprofit ต่อไป หลังจากได้รับแรงกดดันจากหลายฝ่ายที่วิตกว่าบริษัทจะกลายเป็นแค่เครื่องทำเงินธรรมดา นี่คือการประนีประนอมที่พยายามรักษาสมดุลระหว่างการทำธุรกิจกับภารกิจเพื่อสังคม

สรุปแล้ว ใครคือเจ้าของที่แท้จริง?

ถ้าว่ากันตามกฎหมาย “เจ้าของ” ChatGPT คือ บริษัท OpenAI ในรูปแบบไฮบริดที่ควบคุมโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ถ้าเอาตามสังคม “เจ้าของภาพจำ” คือ Sam Altman ที่เป็นคนออกสื่อและเป็น CEO แต่ถ้าเอาตามด้านเทคนิค “เจ้าของสมอง” ของ ChatGPT จริงๆ คือ Ilya Sutskever, John Schulman และทีมวิจัยที่สร้างโมเดลขึ้นมาให้ใช้งานได้ แม้ว่าตอนนี้สองคนนี้จะไม่ได้อยู่กับ OpenAI แล้วก็ตาม

แต่ในเชิงธุรกิจ ผู้มีอำนาจจริงๆ คือ Microsoft ที่ลงทุนไปมากกว่า 13 พันล้านดอลลาร์ ถือหุ้นประมาณ 28% และมีสิทธิ์ได้รับ 75% ของกำไรจนกว่าจะคืนทุน นักลงทุนรายอื่นๆ รวมกันถืออีกประมาณ 21% ส่วนองค์กร Nonprofit ถือหุ้นแค่ 2% แต่กลับควบคุมการตัดสินใจสำคัญทั้งหมด

พูดง่ายๆ คือ ChatGPT ไม่ได้เกิดจากคนคนเดียว แต่เกิดจากการร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักธุรกิจจำนวนมาก บางคนออกหน้าสื่อ บางคนอยู่เบื้องหลังเงียบๆ บางคนยังอยู่ บางคนจากไปแล้ว แต่ถ้าขาดใครไปสักคน ChatGPT ที่คุณกำลังพิมพ์คุยอยู่ตอนนี้ ก็คงไม่เกิดขึ้น

โครงสร้างของ OpenAI ในปัจจุบันพิเศษและซับซ้อนมาก มันเป็นความพยายามผสมผสานระหว่างการทำธุรกิจกับภารกิจเพื่อสังคม ระหว่างการแข่งขันในโลกธุรกิจกับความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติ มันเป็นการทดลองทางธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อนในระดับนี้ ใครจะบอกว่ามันจะสำเร็จหรือล้มเหลว

อย่างที่บอกไป Sam Altman อาจจะเป็นใบหน้าของ ChatGPT แต่เขาไม่ใช่เจ้าของเพียงผู้เดียว เขาเป็นได้แค่กัปตันที่บังคับเรือลำนี้ ท่ามกลางคลื่นลมของวงการธุรกิจ ความคาดหวังของนักลงทุน และภาระรับผิดชอบต่อโลก ในขณะที่คนที่สร้าง ChatGPT ขึ้นมาจริงๆ หลายคนกลับเลือกที่จะจากไป เพื่อไล่ตามวิสัยทัศน์ของตัวเอง 

และนั่นอาจจะเป็นบทเรียนสำคัญที่สุด ไม่ว่าใครจะเป็น “เจ้าของ” สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ChatGPT จะถูกนำไปใช้อย่างไร จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติจริงๆ หรือจะกลายเป็นแค่เครื่องมือทำเงินของคนกลุ่มเล็กๆ คำตอบของคำถามนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่มันเป็นคำถามที่เราทุกคนควรจับตามอง เพราะ ChatGPT และ AI รุ่นต่อๆ ไป กำลังเปลี่ยนแปลงโลกใบใหม่ในทุกๆ วินาที