นายจอห์น ซี. วิลเลียมส์ (John C. Williams) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก ได้ส่งสัญญาณสำคัญถึงทิศทางของนโยบายการเงินในอนาคต โดยระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะต้องเริ่ม ขยายงบดุล อีกครั้งผ่านการเข้าซื้อพันธบัตร เพื่อรักษาสภาพคล่องที่เพียงพอในระบบการเงิน
คำกล่าวของนายวิลเลียมส์เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) เพิ่งประกาศยุติกระบวนการลดขนาดงบดุล หรือ Quantitative Tightening (QT) ที่ดำเนินมานานกว่าสามปีเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ การลดขนาดงบดุลดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อ Fed ตัดสินใจคงระดับการถือครองพันธบัตรโดยรวมไว้ที่ประมาณ 6.6 ล้านล้านดอลลาร์
นายวิลเลียมส์ระบุว่า ภาวะที่ตลาดการเงินเริ่มแสดงสัญญาณความตึงเครียดบางอย่าง โดยเฉพาะในตลาด Repo (Repurchase Agreement) และการใช้เครื่องมือสภาพคล่องของ Fed ที่สูงขึ้น บ่งชี้ว่าระดับเงินสำรองของธนาคารในระบบกำลังเคลื่อนจากระดับ “ค่อนข้างเกินพอ” (somewhat above ample) เข้าสู่ระดับ “เพียงพอ” (ample) ซึ่งเป็นจุดที่ Fed ตั้งใจไว้ว่าจะหยุดการลดงบดุล
เมื่อระดับเงินสำรองถึงจุดที่ “เพียงพอ” นายวิลเลียมส์คาดว่า “คงจะไม่นาน” ที่ Fed จะต้องเริ่มกระบวนการ “เข้าซื้อสินทรัพย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป” อีกครั้ง เพื่อรักษาระดับเงินสำรองให้เพียงพอต่อการเติบโตของหนี้สินอื่น ๆ ของ Fed ในระยะยาว โดยมีนักวิเคราะห์บางรายคาดการณ์ว่า Fed อาจเริ่มการเข้าซื้อพันธบัตรเหล่านี้ในช่วงต้นปี 2026
อย่างไรก็ตาม นายวิลเลียมส์เน้นย้ำว่า การเข้าซื้อพันธบัตรเพื่อบริหารจัดการเงินสำรอง (Reserve Management Purchases) นี้ จะไม่ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulus) และ ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีของนโยบายการเงิน ที่มุ่งเน้นการควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น แต่เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนธรรมชาติของเฟสการบริหารเงินสำรองแบบ “Ample Reserves” ของ Fed
แม้ Fed จะยืนยันว่าการขยายงบดุลนี้ไม่ใช่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ชุมชนคริปโตตอบสนองต่อข่าวนี้ในแง่บวกอย่างรวดเร็ว โดยมีการพูดถึง “Money printers warming up” และการกลับไปสู่ “QE อีกครั้ง” เนื่องจากในทางปฏิบัติ การที่ Fed เข้าซื้อพันธบัตรเพื่ออัดฉีดสภาพคล่อง จะส่งผลดีต่อสภาพคล่องของดอลลาร์โดยรวม ซึ่งตามหลักการแล้ว สภาพคล่องของดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้
ที่มา: @BTC_Archive

