<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ถอดบทเรียนตลาดหมี 2022-2024 ! โปรเจกต์คริปโตที่แข็งแกร่งใช้กลยุทธ์อะไรถึงรอดวิกฤต ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ย้อนกลับไปในช่วงตลาดหมีปี 2022–2024 ซึ่งเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมคริปโต เงินทุนจาก VC หายไปถึง 68% จาก 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2022 เหลือเพียง 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2023

หลายบริษัทคริปโตต้องลดคนจำนวนมาก เช่น Coinbase และ Crypto.com ที่ปรับลดพนักงานลง 20% ส่วน Hodlnaut มีการไล่ออกสูงถึง 80% แต่ในทางกลับกัน นักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์ 2 ปีขึ้นไปกลับได้รับการจ้างงานเพิ่มขึ้น 27% และการคอมมิทโค้ด ซึ่งหมายถึงปริมาณงานจริงที่นักพัฒนาทำสำเร็จและบันทึกเข้าระบบกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 70% ในปี 2024 

ภูมิภาคเอเชียได้ก้าวขึ้นมาเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรมคริปโต โดยมีสัดส่วนถึง 32% ของนักพัฒนาทั่วโลก โดยเฉพาะอินเดียที่ขึ้นจากอันดับ 10 มาเป็นอันดับ 2 ภายในปีเดียว คิดเป็น 17% ของนักพัฒนาใหม่ทั้งหมด

แม้ว่าในภาคส่วนของ VC แบบดั้งเดิม เช่น Tiger Global และ SoftBank จะถอนตัวออกจากการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ แต่กองทุนที่มุ่งเน้นคริปโตเป็นหลักยังคงลงทุนต่อไป ส่วนการฟ้องร้องคดีจาก SEC เพิ่มขึ้น 53% เป็น 46 คดีในปี 2023 โดยมีค่าปรับรวมถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์  

บล็อกเชน Layer-1 ของจริงที่ยืนหยัดอยู่ได้

Ethereum อัปเกรดครั้งใหญ่ถึง 3 รอบระหว่างตลาดหมี ตั้งแต่ The Merge ที่ลดการใช้พลังงานลงเกือบทั้งหมด ไปจนถึง Cancun-Deneb ที่ลดต้นทุนของ Layer-2 อย่างมหาศาล ส่งผลให้ระบบนิเวศฝั่ง L2 เติบโตแบบก้าวกระโดด 

ยิ่งไปกว่านั้น มากกว่า 50% ของนักพัฒนา Ethereum ทั่วโลกหันไปทำงานด้าน scaling solutions และ 74% ของนักพัฒนา multi-chain ต่างเลือกใช้ chain แบบ EVM-compatible

Solana แม้ราคาจะร่วงหนักถึง 94% หลัง FTX ล้มละลาย แต่กิจกรรมของนักพัฒนาในระบบนิเวศกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนเติบโตถึง 83% ภายในปีเดียว และกลายเป็นเชนอันดับหนึ่งสำหรับนักพัฒนาใหม่ TVL ฟื้นตัวจากเพียง 206 ล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็น 6.4 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 

ฝั่ง Avalanche ก็ใช้เวลาช่วงตลาดหมีพัฒนาโครงสร้างใหม่ เปิดตัว HyperSDK ที่ช่วยลดเวลาสร้าง custom blockchain จากเป็นเดือนเหลือเพียงไม่กี่วัน และรองรับการประมวลผลระดับแสนธุรกรรมต่อวินาที พร้อมจับมือกับสถาบันการเงินดั้งเดิมอย่าง JPMorgan, Deloitte และ California DMV 

ขณะที่ Polygon เดินเกมเชิงธุรกิจอย่างหนัก เปิดตัว zkEVM ตัวแรกที่พร้อมใช้งานจริง ทำงานร่วมกับแบรนด์ระดับโลกตั้งแต่ Disney, Meta, Starbucks ไปจนถึง Google Cloud ส่งผลให้ได้รับผลกระทบจากตลาดหมีน้อยที่สุดในบรรดา L1 รายใหญ่ทั้งหมด

วงการ DeFi พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ฝั่ง DeFi ก็พิสูจน์ตัวเองว่า มีความยั่งยืนมากกว่าที่หลายคนคาดคิด Uniswap ใช้เวลา 18 เดือนพัฒนา V4 จนเปิดตัวได้ในต้นปี 2025 ด้วยระบบ hooks ที่ขยายขีดความสามารถของโปรโตคอล ลดต้นทุนสร้าง pool ลงเกือบทั้งหมด และยังไม่เคยถูกแฮ็กแม้จะมีปริมาณเทรดสะสมสูงกว่า 2.75 ล้านล้านดอลลาร์ 

เช่นเดียวกับ Aave ที่เปิดตัว GHO stablecoin และขยายใช้งานไปบนหลายเชนอย่างรวดเร็ว ส่วน Compound ก็ยกเครื่องสถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมดในช่วงที่ตลาดร่วง เพื่อให้ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพด้านเงินทุนมากกว่าเดิม 

ขณะที่ MakerDAO ก็เดินหน้าแผน Endgame ตั้งแต่ปี 2022 จนสามารถขยายการลงทุนใน Real-World Asset ได้เกิน 2.7 พันล้านดอลลาร์ และเปิดตัว Sky Protocol ได้สำเร็จในปี 2024

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) อย่าง Chainlink, The Graph และ Alchemy ต่างก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในช่วงตลาดตกต่ำ โดยเฉพาะ Chainlink CCIP ที่ปริมาณธุรกรรม Cross-chain เติบโตถึง 900% ภายในไตรมาสเดียว และมีองค์กรระดับโลกตั้งแต่ Deutsche Telekom ไปจนถึง Swift เข้ามาร่วมทดลองใช้งาน ขณะที่ LayerZero, Wormhole และ Axelar ต่างช่วยกันผลักดันโลก cross-chain ให้เกิดขึ้นจริงมากกว่าเป็นแค่แนวคิด

ในฝั่งประเทศกำลังพัฒนา การใช้งานคริปโตเติบโตอย่างรวดเร็ว ละตินอเมริกาโต 42.5% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยอาร์เจนตินาและบราซิลมีธุรกรรมรวมกันกว่า 180 พันล้านดอลลาร์ ส่วนแอฟริกามี 72.9% ของธุรกรรมเกิดขึ้นบนมือถือ และภายในปี 2025 การโอนเงินผ่านบล็อกเชนคิดเป็นเกือบ 10% ของกระแสเงินโอนทั่วโลก

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกโปรเจกต์จะสามารถยืนหยัดอยู่รอดในช่วงวิกฤตได้ เห็นได้จากโปรเจกต์ Terra ที่สูญเงินกว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในสัปดาห์เดียว ในขณะที่เว็บเทรดอันดับสองอย่าง FTX ติดหนี้ลูกค้ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ และโปรเจกต์ที่พึ่งพาโมเดล Play-to-Earn อย่าง Axie Infinity ก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว ไปพร้อมกับ Celsius, BlockFi และ Genesis ที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพงเรื่องการใช้เลเวอเรจเกินตัว และการบริหารความเสี่ยงที่ล้มเหลว

จนกระทั่งปี 2024 กระแสคริปโตเริ่มฟื้นตัว หลังจาก BlackRock เปิดตัว Bitcoin ETF จนกองทุนถือ BTC รวมกันกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ และ Ethereum ETF ก็ได้รับอนุมัติในสหรัฐฯ นักพัฒนาหน้าใหม่ต่างไหลเข้าสู่วงการกว่า 39,000 คนในปีเดียว ปริมาณการเทรดบน DEX พุ่งขึ้นไปแตะ 1.82 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวัน Stablecoin มียอดหมุนเวียนทำสถิติใหม่ที่ 1.96 แสนล้านดอลลาร์ 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากตลาดหมี

บทเรียนสำคัญที่สุดจากตลาดหมีครั้งนี้คือ โปรเจกต์ที่รอดไม่ใช่โปรเจกต์ที่ระดมทุนได้เยอะ แต่เป็นโปรเจกต์ที่มีผลิตภัณฑ์จริง รายได้จริง และมีทีมนักพัฒนาที่แข็งแรง 

จากข้อมลทางสถิติแสดงให้เห็นว่า แม้ตลาดจะดิ่งลง แต่นักพัฒนา full-time กลับเพิ่มขึ้น 15.2% และนักพัฒนาที่มีประสบการณ์มากกว่า 2 ปีคือ ผู้สร้าง 70% ของ code ทั้งหมดในอุตสาหกรรมระหว่างปีที่เกิดวิกฤต

ตลาดหมีในอดีตที่ผ่านมา ยังได้เปิดโปงความจริงอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือโปรเจกต์ที่ใช้ราคาโทเคนเป็นตัวขับเคลื่อนหลักเพียงอย่างเดียว ล้วนพังทลายไปเกือบหมด และสิ่งที่เหลือรอดคือ โปรเจกต์ที่แก้ปัญหาได้จริง ไม่ว่าจะเป็น Ethereum ที่ลดการใช้พลังงานลงเกือบทั้งหมด ไปจนถึง Uniswap ที่ลดต้นทุนของ Market Maker อย่างมหาศาล รวมถึง MakerDAO ที่สร้างรายได้จากสินทรัพย์ในโลกจริงได้มากกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์

ที่สำคัญที่สุด การเติบโตของภูมิภาคเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา บอกเราว่าอนาคตของคริปโตจะไม่ใช่แค่การเก็งกำไร แต่เป็นการนำไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การป้องกันเงินเฟ้อไปจนถึงการโอนเงินข้ามประเทศอย่างรวดเร็วและต้นทุนต่ำ

สุดท้ายตลาดหมีในครั้งนั้น ไม่ได้ทำลายคริปโต แต่ทำลาย “ส่วนเกินที่ไม่จำเป็น” และทำให้อุตสาหกรรมนี้แข็งแกร่งกว่าเดิม โปรเจกต์ที่เหลืออยู่ล้วนผ่านบททดสอบที่หนักหนาที่สุด และนักพัฒนารุ่นใหม่ก็ได้รับบทเรียนที่ชัดเจนว่า ความสำเร็จใน Web3 ต้องมาจากความสามารถในการแก้ปัญหาจริง ไม่ใช่แค่การสร้างกระแสหรือการวาด Roadmap ที่สวยหรูเพียงอย่างเดียว