
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีวันนี้ต้องบอกว่าแดงเดือด จนนักลงทุนแทบกุมขมับ เมื่อราคา Bitcoin (BTC) ปรับตัวดิ่งลงอย่างรุนแรงไปทำจุดต่ำสุดในรอบหลายเดือนที่ระดับ 86,649 ดอลลาร์ ท่ามกลางแรงเทขายที่กวาดล้างมูลค่าตลาดรวมทั่วโลกหายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาสั้นๆ
การร่วงลงครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำขาลงตลอด 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Bitcoin สูญเสียมูลค่าไปแล้วกว่า 25% นับจากจุดสูงสุดในเดือนตุลาคม
เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึง เทกระจาด
สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาไหลเป็นน้ำตก เกิดจากการที่ Bitcoin หลุดแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 92,000 ดอลลาร์ ลงมาได้ ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ของการ ล้างพอร์ต (Forced Liquidations) ในตลาดฟิวเจอร์ส ประกอบกับปัจจัยลบทางมหภาคที่รุมเร้า ไม่ว่าจะเป็น
- ความกังวลว่าเฟด (Fed) อาจชะลอการลดดอกเบี้ย
- ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น ดึงดูดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหดหาย ทำให้อัลต์คอยน์ (Altcoins) ตัวอื่นๆ ร่วงหนักยิ่งกว่า Bitcoin
จุดวัดใจถัดไป จะหยุดที่ตรงไหน?
สถานการณ์ตอนนี้ นักเทรดทั่วโลกกำลังจับตามองโซนอันตรายที่ 88,000 – 90,000 ดอลลาร์ หาก Bitcoin ไม่สามารถประคองตัวยืนเหนือโซนนี้ได้ ประตูแห่งหายนะอาจเปิดกว้างสู่การปรับฐานที่ลึกกว่าเดิม
นักวิเคราะห์หลายสำนักเตือนว่า หากแรงเทขายยังไม่หยุด แนวรับถัดไปที่ต้องระวังคือ 85,000 ดอลลาร์ และ 80,000 ดอลลาร์ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความเป็นไปได้ที่จะร่วงลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิมของเดือนเมษายนที่ราวๆ 74,425 ดอลลาร์ หรือโซน $75,000 ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการซื้อประกันความเสี่ยง (Put Options) ในโซนราคาดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
มีความหวังเล็กๆ จากหุ้น Tech
แม้กราฟจะดูน่ากลัว แต่ในช่วงเช้าที่ผ่านมา Bitcoin มีการดีดตัวกลับขึ้นมาเล็กน้อยประมาณ 1.9% โดยได้รับอานิสงส์จาก “งบหุ้นเทคโนโลยี” ยักษ์ใหญ่รายหนึ่งอย่าง Nvidia ที่ออกมาดีเกินคาด ซึ่งช่วยคลายความกังวลเรื่องการชะลอตัวของการลงทุน AI
เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า ตอนนี้ราคาคริปโตผูกติดอยู่กับทิศทางของ หุ้นเทคโนโลยีและชิป AI อย่างแยกไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้น การดีดตัวในตอนเช้า ยังถูกมองว่าเป็นเพียง Reflex Bounce หรือการเด้งทางเทคนิคระยะสั้น มากกว่าจะเป็นสัญญาณกลับตัวจริงๆ
บทเรียนราคาแพง 1 ล้านล้านที่หายไป
แม้ว่ามูลค่าตลาดที่หายไป 1 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่จะเป็น ตัวเลขทางบัญชี (Paper Loss) จากการปรับมูลค่าสินทรัพย์ ไม่ใช่เงินสดไหลออกจริงทั้งหมด แต่ผลกระทบทางจิตวิทยานั้นมหาศาล
ความเสียหายครั้งนี้ทำให้นักลงทุนรายย่อยพอร์ตหดตัวทันตาเห็น ขณะที่กองทุนขนาดใหญ่ก็เจ็บตัวไม่แพ้กัน สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ ตลาดกำลังอยู่ในภาวะเปราะบางและแตกตื่น (Extreme Fear) ซึ่งนักลงทุนควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ในระดับ วินาทีต่อวินาที

