แม้ภาพรวมอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงหลังจากธนาคารกลางหลายแห่งงัดมาตรการทางการเงินมาใช้อย่างเข้มข้น แต่ในหลายมุมของโลกที่ระบบการเงินท้องถิ่นล้มเหลวและหมดความน่าเชื่อถือ “คริปโตเคอร์เรนซี” ได้แปรสภาพจากสินทรัพย์เก็งกำไรกลายเป็นทางรอดสุดท้ายในการปกป้องเงินออม
วิกฤตการณ์ที่เริ่มปะทุขึ้นตั้งแต่ช่วงโรคระบาด สงคราม และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ได้ทิ้งร่องรอยแผลลึกทางเศรษฐกิจไว้ในหลายประเทศ จนทำให้ประชาชนต้องดิ้นรนหาทางออกด้วยตนเองผ่านโลกดิจิทัล

โบลิเวีย
สถานการณ์ในโบลิเวียกำลังสะท้อนภาพความล้มเหลวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เมื่อทุนสำรองระหว่างประเทศที่เคยมีอยู่มหาศาลกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดฮวบลงเหลือเพียง 1.98 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการนำเข้าสินค้าได้อีกเพียงสามเดือนเศษ
วิกฤตศรัทธาต่อค่าเงิน “โบลิเวียโน” ที่เผชิญเงินเฟ้อกว่า 22% ผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้คริปโตเคอร์เรนซีอย่างล้นหลาม จนมียอดธุรกรรมพุ่งสูงเกือบ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

ภาพที่เห็นได้ทั่วไปคือร้านค้าเริ่มติดป้ายราคาสินค้าเป็นหน่วย USDT โดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนจากกระดานเทรด Binance แทนธนาคารกลาง แรงกดดันนี้ทำให้รัฐบาลต้องยอมถอย โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้ประกาศอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์เปิดบริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล และยอมรับให้ใช้คริปโตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ถูกกฎหมาย เพื่อดึงดูดสภาพคล่องกลับเข้าสู่ระบบ

เวเนซุเอลา
ในขณะที่เพื่อนบ้านกำลังดิ้นรน เวเนซุเอลากลับจมดิ่งลึกกว่าด้วยภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงที่สูงถึง 172% และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจะพุ่งทะลุ 600% ในปีหน้า สภาพเศรษฐกิจที่พังทลายทำให้ชาวเวเนซุเอลาเลิกเชื่อถือเงินท้องถิ่นและหันมาพึ่งพา Stablecoins จนเกิดคำศัพท์ใหม่ที่เรียกว่า “Binance dollars” ซึ่งกลายเป็นเสมือนสกุลเงินที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ประเทศมียอดการรับโอนคริปโตสูงเป็นอันดับ 4 ของลาตินอเมริกา
แม้แต่ประธานาธิบดี Nicolas Maduro ยังต้องพยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เชื่อมโยงกับสินทรัพย์ดิจิทัล ในขณะที่ผู้นำฝ่ายค้านอย่าง María Corina Machado ก็ออกมาสนับสนุนการใช้ Bitcoin อย่างเปิดเผย กลายเป็นประเด็นที่การเมืองและปากท้องพันกันอย่างแยกไม่ออก
อาร์เจนตินา
ข้ามมาที่อาร์เจนตินา ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการทดลองทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Javier Milei ผู้ใช้นโยบาย “เลื่อยไฟฟ้า” หั่นงบประมาณและหยุดพิมพ์เงินเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เคยพุ่งเกือบ 300% ให้ลดลงเหลือระดับ 30% กว่าๆ ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะดูดีขึ้น แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนยังไม่กลับมาเต็มร้อย สะท้อนผ่านยอดธุรกรรมคริปโตที่สูงถึง 9.39 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นรองเพียงบราซิลในทวีป ชาวอาร์เจนตินายังคงใช้ Stablecoins เป็นหลุมหลบภัยเพื่อรักษามูลค่าเงินออม ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่รัฐบาลแม้จะมีวาทกรรมเป็นมิตรกับคริปโต แต่ในทางปฏิบัติยังไม่มีการรับรองทางกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม

ตุรกี
ทางฝั่งตะวันออกกลาง ตุรกีกลายเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคด้วยยอดธุรกรรมมหาศาลกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากบทเรียนราคาแพงจากนโยบายลดดอกเบี้ยสวนทางโลกที่เคยดันเงินเฟ้อพุ่งแตะ 85% แม้ปัจจุบันสถานการณ์จะคลี่คลายลงบ้าง แต่พฤติกรรมของนักลงทุนชาวตุรกีกลับเปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจ ข้อมูลจาก Chainalysis ชี้ว่า แทนที่จะถือ Stablecoin เพื่อความปลอดภัยเหมือนชาติอื่น ชาวตุรกีกลับหันมาเทรดเหรียญทางเลือก (Altcoins) ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นพฤติกรรม “แสวงหาผลตอบแทนอย่างดิ้นรน” เพื่อต้องการกำไรสูงๆ มาชดเชยอำนาจการซื้อที่ลดลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวังที่ซ่อนอยู่ใต้ตัวเลขการเทรดที่คึกคัก

อิหร่าน
สำหรับอิหร่าน คริปโตเคอร์เรนซีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงกว่า 45% เท่านั้น แต่ยังเป็นอาวุธสำคัญในการเอาตัวรอดจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจระดับนานาชาติ แม้รัฐบาลจะพยายามควบคุมอุตสาหกรรมนี้อย่างเข้มงวดและเผชิญวิกฤตพลังงานจนทำให้เหมืองขุดต้องหลบลงไปดำเนินการแบบใต้ดิน แต่กระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตในอิหร่านยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลกำลังเตรียมแผนปฏิรูปค่าเงินครั้งใหญ่เพื่อแก้ปัญหาการพกพาเงินสดจำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่าประชาชนจะเลือกทางออกของตนเองผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถเชื่อมต่อพวกเขากับโลกภายนอกได้มากกว่า

ไนจีเรีย
ปิดท้ายที่ไนจีเรีย ยักษ์ใหญ่แห่งแอฟริกาที่ดูเหมือนจะมีข่าวดีเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 16% จากการปฏิรูปเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Bola Tinubu แต่ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้ทำให้ความนิยมในคริปโตลดลง ไนจีเรียยังคงครองแชมป์ยอดธุรกรรมสูงสุดในภูมิภาค Sub-Saharan Africa ด้วยมูลค่ากว่า 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์
ปัจจัยขับเคลื่อนไม่ได้มาจากแค่ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ แต่ยังมาจากปัญหาโครงสร้างเรื้อรังในการเข้าถึงสกุลเงินต่างประเทศ ทำให้ Stablecoins กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สุดสำหรับภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไปที่ต้องการเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางระบบการเงินดั้งเดิมที่ยังมีข้อจำกัด

ที่มา: cointelegraph

