<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ช็อกตาแตก! ทองคำแซง Bitcoin ขาดลอย ผลตอบแทนพุ่ง +58% ขณะที่ BTC ดิ่ง -12% หลังเปิดตัว Spot ETF

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ใครที่เคยฝันหวานว่าการมาของ Spot Bitcoin ETF เมื่อต้นปี 2024 จะพาชาวคริปโตไปดวงจันทร์ อาจจะต้องตื่นมาพบกับความจริงที่เจ็บปวด เพราะตัวเลขล่าสุดปลายปี 2025 ชี้ชัดว่า “ทองคำ”  คือผู้ชนะตัวจริง โดยทำผลงานทิ้งห่าง Bitcoin ได้แบบขาดลอย

ข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นสถิติที่น่าตกใจ นับตั้งแต่เปิดตัว Spot Bitcoin ETF ในเดือนมกราคม 2024 แทนที่ Bitcoin จะพุ่งทะยาน กลับกลายเป็นว่าราคาร่วงลงไปกว่า 12% ในขณะที่ “ทองคำ” สินทรัพย์ที่หลายคนมองว่าเก่าล้าสมัย กลับทำราคาพุ่งขึ้นถึง 58% ในช่วงเวลาเดียวกัน คำถามสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้คือ “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?”

ความจริงที่เจ็บปวด: Bitcoin ยัง “เด็กเกินไป” สำหรับขาใหญ่

Mark Connors ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์มหภาคของ Risk Dimensions และอดีตหัวหน้าฝ่ายให้คำปรึกษาความเสี่ยงของ Credit Suisse ให้คำตอบที่ตรงไปตรงมาว่า Bitcoin ยังคง “เด็กเกินไป” ในสายตาของสถาบันการเงินระดับโลก

แม้เราจะเห็นข่าว ETF แต่ผู้ซื้อที่มีนัยสำคัญต่อตลาดจริงๆ อย่าง ธนาคารกลาง  และ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติยังคงเลือกที่จะถือครอง “ทองคำ” มากกว่า สาเหตุหลักไม่ใช่แค่เรื่องความผันผวน แต่เป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานและความเชื่อมั่นที่มีมานานหลายศตวรรษ สถาบันเหล่านี้มีบัญชีทองคำอยู่แล้ว และยังไม่ได้พร้อมที่จะเปิด Wallet เพื่อเก็บ Bitcoin อย่างที่สายคริปโตหวังไว้

ทองคำคือ “เงินจริง” ที่ใช้ซื้อขายน้ำมัน  

จุดตายที่ทำให้ Bitcoin แพ้ทางทองคำในรอบนี้ คือการใช้งานจริงในระดับมหภาค  โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ BRICS (นำโดยจีน อินเดีย และรัสเซีย) ที่เร่งสะสมทองคำเข้าคลังอย่างหนัก และเริ่มใช้ทองคำเป็นสื่อกลางในการชำระค่า “น้ำมัน” และการค้าระหว่างประเทศ

สิ่งนี้สร้าง “ความต้องการจริง”  ให้กับทองคำจากการค้าขาย ในขณะที่ Bitcoin แม้จะถูกออกแบบมาให้เป็นสกุลเงินไร้พรมแดน แต่ในทางปฏิบัติยังไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศในสเกลใหญ่อย่างที่ทองคำทำได้

วิกฤตสภาพคล่อง: เมื่อ “ก๊อกน้ำ” ของสหรัฐฯ ถูกปิด

นอกเหนือจากเรื่องความเชื่อมั่น Connors ยังชี้เป้าไปที่ปัญหา “สภาพคล่อง”  ว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทุบราคา Bitcoin โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชะลอการใช้จ่าย ทำให้เม็ดเงินในระบบลดน้อยลง

Bitcoin ซึ่งมีโครงสร้างที่เปราะบางต่อสภาพคล่องมากกว่า (เนื่องจากมีการใช้ Leverage สูง โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย) จึงได้รับผลกระทบหนักกว่าสินทรัพย์อื่นๆ เมื่อสหรัฐฯ หยุดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ

สุดท้ายนี้แม้สถานการณ์ปัจจุบัน Bitcoin จะดูเป็นรอง แต่ Connors มองว่านี่ไม่ใช่จุดจบ หากสหรัฐฯ กลับมาอัดฉีดเงินผ่านการออกพันธบัตรอีกครั้ง สภาพคล่องอาจไหลกลับเข้ามาและช่วยดันราคา Bitcoin ได้ แต่สำหรับนักลงทุนสถาบัน การเลือกสินทรัพย์ไม่ใช่การโยนหัวก้อย ระหว่างทองคำกับ Bitcoin แต่พวกเขาเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ความมั่นคงที่สุด ซึ่งในเวลานี้ “ทองคำ” คือคำตอบที่ใช่ ในขณะที่ Bitcoin ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองต่อไป

ที่มา :  coindesk