ทฤษฎีวงจร 4 ปีของ Bitcoin (4-Year Halving Cycle) ที่นักลงทุนยึดถือกันมานานอาจกำลังสิ้นสุดลง Bull Theory นักวิเคราะห์คริปโทฯ ชื่อดัง ได้ออกมาเปิดเผยมุมมองว่า การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของราคา Bitcoin ในทศวรรษที่ผ่านมา แท้จริงแล้วไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเหตุการณ์ Halving เป็นหลัก แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ “สภาพคล่องทางการเงินทั่วโลก” (Global Liquidity) ซึ่งในรอบปัจจุบัน สัญญาณต่างๆ กำลังบ่งชี้ว่าตลาดกระทิง (Bull Run) ยังไม่จบลง เพียงแต่ถูกชะลอออกไป และรูปแบบของวัฏจักรกำลังเปลี่ยนไปจากเดิม
สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดในขณะนี้คือ “สภาพคล่องของ Stablecoin” ที่ยังคงมีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ซึ่งบ่งบอกว่านักลงทุนรายใหญ่ยังไม่ได้ถอนเงินออกจากตลาดคริปโทฯ แต่กำลังถือเงินสดรอจังหวะเข้าซื้อ (Dry Powder) ประกอบกับปัจจัยในสหรัฐฯ ที่นโยบายการเงินเริ่มกลับทิศ ทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยุติการดึงสภาพคล่องออก (QT) และยอดเงินคงเหลือในบัญชี TGA ของกระทรวงการคลังที่สูงผิดปกติ ซึ่งเงินส่วนนี้คาดว่าจะไหลกลับเข้าสู่ระบบการเงินและช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับสินทรัพย์เสี่ยงในที่สุด
นอกจากสหรัฐฯ แล้ว แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังมุ่งสู่ทิศทางเดียวกันในการกลับมาอัดฉีดสภาพคล่อง ไม่ว่าจะเป็นจีนที่ดำเนินการมาหลายเดือน หรือญี่ปุ่นที่เพิ่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่พร้อมผ่อนปรนกฎระเบียบคริปโทฯ ในขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ ก็น่าจับตา ทั้งความเป็นไปได้ของนโยบายภาษีที่เป็นมิตรต่อตลาดของโดนัลด์ ทรัมป์ และโอกาสที่จะมีประธาน Fed คนใหม่ที่มีท่าทีสนับสนุนคริปโทฯ มากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มักจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026
โดยสรุป Bull Theory เน้นย้ำว่า ในอดีตราคา Bitcoin มักจะเคลื่อนไหวตามทิศทางของสภาพคล่อง ไม่ใช่วันที่เกิด Halving ดังนั้น เมื่อมหาอำนาจทางเศรษฐกิจพร้อมใจกันกลับมาขยายสภาพคล่อง การผนึกกำลังของปัจจัยบวกเหล่านี้ อาจทำให้วัฏจักรขาขึ้นรอบนี้แตกต่างออกไป ไม่ใช่การพุ่งขึ้นแรงแล้วจบลงด้วยตลาดหมีที่ยาวนานเหมือนที่เคยเป็นมา แต่จะกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ “ยาวนานและกว้างขึ้น” (Longer, Broader Uptrend) ซึ่งอาจครอบคลุมไปตลอดปี 2026 และต่อเนื่องไปถึงปี 2027
ที่มา: @BullTheoryio

