<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

บทเรียนจากดราม่าบัตรคอนเสิร์ต สู่โลกคริปโทฯ: เมื่อการเก็งกำไรพังเพราะติดกับดักอดีต

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

กรณีดราม่าบัตรคอนเสิร์ต Big Mountain ที่ผู้ลงทุนทุ่มเงินกว่า 8.5 แสนบาท แต่กลับได้กำไรเพียง 3 หมื่นบาท พร้อมบทเรียนราคาแพงว่า “เงินจม” เพราะปีนี้ไม่มีคนแย่งชิงเหมือนก่อน ไม่ใช่เพียงแค่ข่าวบันเทิง แต่เป็นกรณีศึกษาชั้นยอดสำหรับนักเทรดคริปโทเคอร์เรนซี กลไกความล้มเหลวนี้สะท้อนภาพจิตวิทยาการลงทุนที่ผิดพลาด ซึ่งสามารถนำมาถอดเป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตคริปโทฯ ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันได้

บทเรียนแรกคือการระวังกับดักที่ว่า “อดีตไม่การันตีอนาคต” ในเคสบัตรคอนเสิร์ต ผู้ลงทุนมีความเชื่อฝังหัวจากประสบการณ์ปีก่อนๆ ว่าบัตรต้องหายากและมีคนแย่งกัน จึงกล้าทุ่มเงินโดยไม่ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งในโลกคริปโทฯ นี่คือข้อผิดพลาดสุดคลาสสิก นักเทรดจำนวนมากมักยึดติดกับภาพจำเดิมๆ เช่น เหรียญนี้เคยพุ่งไปถึงราคานั้น เดี๋ยวก็ต้องกลับไปที่เดิม หรือเชื่อว่าหลังเหตุการณ์ Halving ราคาต้องพุ่งเสมอ โดยลืมไปว่าสภาวะตลาด ปัจจัยมหภาค และเทรนด์ความสนใจเปลี่ยนไปทุกวัน การลงทุนโดยใช้แค่ความทรงจำในอดีตโดยไม่ดูข้อเท็จจริงปัจจุบัน คือจุดเริ่มต้นของหายนะ

ประเด็นต่อมาคือความล้มเหลวในการประเมินความคุ้มค่า หรือ Risk/Reward Ratio การนำเงินสด 8.5 แสนบาทไปจมกับความเสี่ยงสูง ทั้งบัตรขายไม่ออกและกระแสดราม่า เพื่อแลกกับกำไรเพียง 3.5% ถือเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าอย่างรุนแรง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับนักเทรดคริปโทฯ ที่นำเงินเก็บก้อนใหญ่ไปลงในเหรียญซิ่งที่มีความเสี่ยงมูลค่าเหลือศูนย์ เพียงเพื่อหวังกำไรเด้งสั้นๆ ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ นักเทรดที่ดีต้องคำนวณเสมอว่าหากความเสี่ยงที่จะเสียมีมากกว่าโอกาสที่จะได้ หรือได้ไม่คุ้มเสีย ก็ไม่ควรเอาเงินเข้าไปเสี่ยงตั้งแต่แรก

บทเรียนที่สามคือเรื่องของ “สภาพคล่อง” (Liquidity) ที่เปรียบเสมือนพระเจ้าของการเทรด คำบ่นว่า “เงินจม” ของสาวรีเซลบัตร คือภาพสะท้อนปัญหาที่ชัดเจนที่สุด เมื่อสินทรัพย์ในมือไม่มีคนซื้อ ณ ราคานั้นๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินสดได้ทันที เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นประจำกับคนที่เล่นเหรียญเล็ก (Small Cap) หรือ NFT ที่หมดกระแส ตอนราคาขึ้นตัวเลขในพอร์ตอาจดูสวยหรู แต่เมื่อต้องการขายจริงกลับไม่มีคนตั้งรับซื้อ หรือสภาพคล่องใน Pool น้อยมากจนกดขายไม่ได้ หรือถ้าฝืนขายราคาก็ถล่มยับเยิน ดังนั้นการดูแค่ราคาไม่เพียงพอ ต้องมั่นใจด้วยว่าจะสามารถ “ออกของ” ได้จริงเมื่อจำเป็น

สุดท้ายคือการแยกแยะระหว่างกระแสปั่น (Hype) กับความต้องการที่แท้จริง (Real Demand) การที่เจ้าตัวยอมรับว่าปีนี้ “ไม่มีคนแย่งกัน” แสดงให้เห็นว่าดีมานด์ไม่ได้สูงจริงเท่าที่คาดการณ์หรือเท่าที่กลุ่มรีเซลพยายามปั่นกระแส ในตลาดคริปโทฯ ก็เช่นกัน หลายครั้งราคาเหรียญพุ่งขึ้นเพราะการ FOMO ตามอินฟลูเอนเซอร์หรือกลุ่มวาฬที่ล่อให้รายย่อยเข้าไปรับของ เมื่อ Hype จบลงและไม่มีการใช้งานจริงรองรับ ราคาก็จะกลับสู่มูลค่าที่แท้จริงซึ่งอาจต่ำติดดิน ทำให้นักเทรดที่เข้าตามกระแสต้องเจ็บตัวหนัก อุทาหรณ์ครั้งนี้จึงย้ำเตือนว่าการเก็งกำไรคือการบริหารความเสี่ยง หากลงทุนด้วยความโลภโดยไม่ประเมินรอบด้าน บทสรุปอาจเป็นการเอาเงินก้อนโตไปแลกกับเศษเงินทอน พร้อมความเครียดที่เงินจมอยู่กับสิ่งที่ตลาดไม่ต้องการ

ที่มา: เพจ ท่านเปา