Bank of America ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้กล่าวเปรียบเทียบ Solana ว่าเป็นเหมือนกับเครือข่ายบัตรเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“Solana อาจกลายเป็น Visa ของระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล” Alkesh Shah นักวิเคราะห์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของ Bank of America เขียนในบันทึกการวิจัยที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร โดยเขาอ้างถึง dApp มากกว่า 400 รายการที่รันอยู่บนเครือข่ายของ Solana นับตั้งแต่กระดานแลกเปลี่ยนแบบ peer-to-peer จนไปถึงตลาด NFT
ในขณะเดียวกัน Ethereum อาจกลายเป็นบล็อคเชนสำหรับ “ธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงและการระบุตัวตน, การจัดเก็บข้อมูลและกรณีการใช้งานของซัพพลายเชน” เขาเขียนระบุในรายงานวิจัย
Alkesh ได้เปรียบเทียบการทำธุรกรรมต่อวินาที (TPS) บนเครือข่ายบล็อกเชนกับธุรกรรมบนเครือข่ายบัตรเครดิตมานานแล้ว วีซ่ากล่าวว่าในทางทฤษฎีพวกเขาอาจสามารถจัดการธุรกรรมได้มากถึง 24,000 TPS แต่เฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 1,700 TPS ในขณะที่ Ethereum ปัจจุบันอยู่ที่ 15 ซึ่งไม่มาก เมื่อพิจารณาจากความต้องการของ Dapp ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้ใช้งาน รวมไปถึงค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมราคาแพงเป็นตัวเลขถึงสองหลัก
ในขณะที่โปรเจกต์ต่าง ๆ มีความพยายามที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา Ethereum scalability รวมทั้งผ่าน sidechains ใน Polygon และ Arbitrum ไปจนถึงการเปิดตัว Ethereum 2.0 อย่างสมบูรณ์ที่ผู้สร้าง Ethereum Vitalik Buterin เขียนระบุในโพสต์เมื่อเดือนมิถุนายน 2020 ว่าเครือข่ายที่อัปเกรดเสร็จสมบูรณ์แล้วจะสามารถทำธุรกรรมได้มากถึง 100,000 TPS
การมาของ Solana นั้นได้โค่นล้มแชมป์เก่าอย่าง Ethereum และ Visa โดยมีข้อจำกัดทางทฤษฎีสำหรับการทำธุรกรรมอยู่ที่ 65,000 TPS และมีค่าธรรมเนียมธุรกรรมเพียงเศษเสี้ยวเดียวของเพนนี
“Solana มีความสามารถในการปรับขนาดและจัดลำดับได้อย่างยอดเยี่ยม แต่บล็อกเชนยังมีการกระจายอำนาจและมีความปลอดภัยที่ค่อนข้างน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นปัญหาด้านประสิทธิภาพของเครือข่ายหลายอย่างนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง” Alkesh กล่าวถึงปัญหาการขัดข้องของเครือข่ายที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนและปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกหลายประการ
อย่างไรก็ตาม Avalanche อ้างว่า “ความพยายามในการหาจุดกึ่งกลาง” ระหว่างความปลอดภัยในระดับของ Ethereum และความเร็วในระดับ Solana สามารถทำให้เป็น Solana นั้น ๆ กลายเป็นบล็อคเชนที่ดีที่สุดสำหรับการเงินแบบกระจายอำนาจและองค์กร
ซึ่งเขามองว่า “ความสามารถในการให้ปริมาณงานสูง ต้นทุนต่ำ และใช้งานง่าย สร้างบล็อกเชนที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับกรณีการใช้งานของผู้บริโภค เช่น micropayments, DeFi, NFTs, เครือข่ายแบบกระจายศูนย์ (Web3) และเกม”
ที่มา decrypt.co