เมื่อประมาณ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา ตลาดสกุลเงินดิจิทัลได้ปรับฐานลงอย่างกะทันหัน โดยราคา Bitcoin (BTC) ได้หลุดจากช่วง 25,500 – 26,500 ดอลลาร์ และร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดของวันที่ 24,901 ดอลลาร์ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตลาดคาดการณ์กันว่าราคาอาจร่วงลงต่ำกว่าระดับ 20,000 ดอลลาร์
การปรับฐานในครั้งนี้ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงกว่า 1.33% จนเหลือ 1.02 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก QuantifyCrypto แสดงให้เห็นว่า โปรเจกต์ คริปโต 50 อันดับแรกล้วนติดลบทั้งหมด เนื่องจากตลาดคริปโตสูญเสียมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันเดียว และมีการขาดทุนสะสมเกือบ 2% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สกุลเงินดิจิทัล 50 อันดับแรกตามมูลค่าตลาด ที่มา: QuantifyCrypto
สาเหตุที่ผลักดันให้ตลาดคริปโตปรับฐานในครั้งนี้
ราคา Bitcoin ปิดตลาดเดือนก.ย. ด้วยสีแดงมาแล้ว 6 ปีติดต่อกัน
Will Clemente นักวิเคราะห์คริปโตชื่อดัง ได้ชี้ให้เห็นว่า “เดือนกันยายน” เป็นเดือนที่ Bitcoin ให้ผลตอบแทนเป็นบวกน้อยที่สุด และราคา Bitcoin ก็เคยติดลบในเดือนกันยายนมาตลอด 6 ปีติด ๆ กัน
เช่นเดียวกับเดือนกันยายนของปีนี้ Bitcoin และ Ethereum ต่างก็มีราคาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน โดยปัจจุบัน Ethereum มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 1,600 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับที่เห็นเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม ในอีกด้านหนึ่ง Bitcoin มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 25,700 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน
ในอดีต เดือนกันยายนนับว่าเป็นเดือนที่โหดร้ายกับ Bitcoin เนื่องจากราคาเหรียญนี้มีการลดลงโดยเฉลี่ย 5.5% ในเดือนกันยายนตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยในความเป็นจริงแล้ว Bitcoin ปิดตลาดเป็นสีเขียวในเดือนกันยายนเพียงสองครั้งเท่านั้น คือ ในปี 2015 และอีกครั้งในปี 2017
ทั้งนี้การชะลอตัวของตลาดคริปโตในเดือนกันยายนครั้งสำคัญที่สุด เกิดขึ้นในปี 2014 โดยในขณะนั้นราคาของ Bitcoin ได้ปรับตัวลงมากถึง 19% ดังนั้นถ้าหากพิจารณาจากบริบททางสถิติแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเห็นราคา Bitcoin ลดลงอย่างต่อเนื่องก่อนถึงช่วงสิ้นเดือนกันยายน
การชำระบัญชีสินทรัพย์ของ FTX สร้างความกระวนกระวายใจให้ตลาด
CaptainAltcoin รายงานว่า FTX ถูกกำหนดให้ได้รับการอนุมัติจากศาลให้ชำระบัญชีสินทรัพย์คริปโต รวมมูลค่ากว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ในวันที่ 13 กันยายน และข่าวนี้ก็ส่งผลให้เกิดความกลัวในหมู่นักเทรดและนักลงทุนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม กระบวนการชำระบัญชีจะไม่เกิดขึ้นในเวลาสั้น ๆ แค่ชั่วข้ามคืนแน่นอน เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง SEC และ CFTC ไม่มีทางยอมให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างเร่งรีบ แต่จะมีกรอบการทำงานและกำหนดการอย่างชัดเจนสำหรับการเทขายเหรียญคริปโต
ทั้งนี้ FTX มีสินทรัพย์คริปโตที่รอการชำระบัญชีอยู่ทั้งหมด 3.4 พันล้านดอลลาร์ โดยตามคำสั่งของศาลล้มละลายเดลาแวร์ การชำระบัญชีจะถูกแบ่งเป็นชุด ครั้งละ 100-200 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ซึ่งการเปิดเผยคำตัดสินของศาลล้มละลายเกี่ยวกับการขายสินทรัพย์ FTX จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 กันยายนนี้
นอกจากนี้ การชำระบัญชีสินทรัพย์ของ FTX ยังมีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดการโดยผู้รับประกันการซื้อสินทรัพย์ที่เหลือ (underwriter) ซึ่งจะรับประกันการปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับในขณะที่เจรจาเงื่อนไขการขาย โดยส่วนใหญ่จะผ่านธุรกรรมแบบ over-the-counter (OTC)
กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือน และปฏิกิริยาความตื่นตระหนกของตลาดที่เกิดขึ้นในทันที ก็อาจเป็นเพียงการคาดการณ์ถึงความกลัว ความไม่แน่นอน และความสงสัย (FUD) ที่ตอบสนองต่อตนเองมากกว่าการตอบสนองต่อข่าวอย่างมีเหตุผล
การประกาศข้อมูล CPI ของสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั่วทั้งโลกได้ทราบข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคม ในวันที่ 13 กันยายน หรือก็คือวันเดียวกับการเปิดเผยคำตัดสินของศาลเกี่ยวกับการชำระบัญชีสินทรัพย์คริปโตของ FTX ซึ่งเหตุการณ์นี้จะมีส่วนผลักดันการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเรื่องอัตราดอกเบี้ย และส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตและตลาดหุ้นโดยตรง
ทั้งนี้ตลาดคาดว่าตัวเลข CPI ของเดือนสิงหาคมจะอยู่ที่ 3.6% ซึ่งสูงกว่า CPI เดือนกรกฎาคมที่ 3.2% อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคาดการณ์ไว้ด้วยว่าดัชนี CPI พื้นฐาน (ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน) จะอยู่ที่ 4.3% ซึ่งต่ำกว่า Core CPI ของเดือนกรกฎาคมที่ 4.7%
ด้วยเหตุนี้ ตลาดจึงไม่คาดหวังว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 20 กันยายน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือข้อมูล CPI เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ Fed พิจารณาในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น สถานะเศรษฐกิจและอัตราการว่างงาน จะมีบทบาทในการตัดสินใจของ Fed เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาทั้งหมดแล้ว มีความเป็นไปได้ที่ตลาดคริปโตอาจมีการตอบสนองมากเกินไปในช่วงสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยข่าวและเหตุการณ์สำคัญ
ชัยชนะทางกฎระเบียบที่สูญเปล่า
แม้จะมีข่าวเชิงบวกเมื่อเร็ว ๆ นี้ เช่น ข่าว Grayscale ชนะคดีฟ้องร้องต่อ SEC แต่ตลาดก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากชัยชนะเหล่านี้ได้ โดยถึงแม้ราคา Bitcoin จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสั้น ๆ แต่ตลาดโดยรวมกลับไม่ตอบสนองต่อข่าวดังกล่าวมากเท่าไรนัก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นแล้วว่านักลงทุนยังคงระมัดระวัง และยังไม่มั่นใจว่าการตัดสินใจของ SEC จะเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นในวงกว้าง
ที่มา: coinmarketcap, finbold, cointelegraph