Charles Edwards ผู้ก่อตั้งบริษัทลงทุน Capriole Investments กล่าวว่า ตัวชี้วัดบนเครือข่ายหลายตัวชี้ให้เห็นถึง แสดงให้เห็น “ความอ่อนแอ” ของราคา Bitcoin ในปัจจุบัน ซึ่งในขณะที่รายงานราคาของ Bitcoin ได้ร่วงลง 1.6% ตลอดช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรือคิดมูลค่าที่ลดลง -16% จากสถิติราคาสูงสุดตลอดกาลที่ $73,835
ราคา Bitcoin ลดลง 8.75% ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา และ 5.5% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แนวโน้มราคา BTC ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน ทำให้นักวิเคราะห์การตลาดตั้งคำถามว่า ราคานี้เป็นจุดสูงสุดของรอบ (cycle top) สำหรับเหรียญคริปโตเบอร์หนึ่งของโลกแล้วหรือไม่
ซึ่งเนื้อหาต่อไปนี้ เรามาพิจารณาเหตุผลบางประการที่นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ตลาดกระทิงของ Bitcoin อาจจะมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
ในจดหมายข่าวฉบับล่าสุด Charles Edwards อธิบายว่า อัตราเฟ้อของผู้ถือ Bitcoin ระยะยาว (LTH) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอัตราดัชนีดังกล่าว Glassnode ได้อธิบายว่าเป็นการวัดอัตราการสะสมหรือการกระจายตัวของ Bitcoin ในเหล่าผู้ถือเหรียญระยะยาวต่อปี โดยค่าอัตราดัชนีที่สูงขึ้นบ่งบอกว่า ผู้ถือเหรียญกำลังเพิ่มแรงขายสู่ตลาด เนื่องจากปริมาณ Bitcoin ที่พวกเขาถือลดน้อยลง
ดังนั้นหากมองในช่วงที่ราคา Bitcoin ทำราคาขึ้นสู่จุดสูงสุดจะพบว่า อัตราเฟ้อของตลาดได้พุ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังตัวเลขที่เกินกว่า 2.0 ซึ่งเป็น “สัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าตลาดกำลังจะมาถึงจุดสูงสุดของวัฏจักร”
ถัดมาในมาตรวัด onchain อีกตัวอย่าง Bitcoin Dormancy Flow ที่ใช้ดูว่าตลาดเป็นขาขึ้นหรือขาลง และใช้วัดปริมาณการใช้เหรียญเมื่อเทียบกับแนวโน้มโดยรวม ได้เพิ่มขึ้นมาตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา
Edwards สังเกตเห็นว่า ตัวชี้วัดนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเดือนเมษายน ซึ่งบ่งบอกว่าอายุเฉลี่ยของเหรียญที่ใช้ไปนั้นสูงขึ้นอย่างมากในปี 2024 เขาอธิบายว่า “จุดสูงสุดของตัวชี้วัดนี้ (z-score) มักจะเห็นจุดสูงสุดของรอบพอดีเมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือน ซึ่ง
ตอนนี้ ผ่านมา 3 เดือนแล้ว แต่ราคากลับมีแต่ลดลงเท่านั้น และ Dormancy Z-Score ยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดของปี 2017 และ 2021
สิ่งนี้หมายความว่าในปัจจุบัน Bitcoin มีการตีมูลค่าที่มากเกินความเป็นจริง เมื่อเทียบกับมูลค่ารวมของเหรียญที่ใช้ในธุรกรรมโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากปริมาณการซื้อขาย ทำให้เราเห็นได้ว่าราคาบิตคอยน์อาจจะไปถึงจุดสูงสุดของรอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตเคอเรนซีโดยรวมและเกิดเป็นขาลงได้
และตัวชี้วัดตัวสุดท้ายที่เตือนเรื่องจุดสูงสุดของรอบวัฏจักรคือ การพุ่งขึ้นของปริมาณการใช้เหรียญแบบกลุ่ม ซึ่งตัวของ Edwards เรียกมันว่า “พื้นที่เสี่ยง” โดยในทางประวัติศาสตร์ เมื่อปริมาณการใช้เหรียญของ Bitcoin อายุ 7-10 ปี เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกจุดสูงสุดของรอบนั้นได้ และตลาดในปี 2024 นั้นกำลังเดินตามวัฏจักรไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายนี้ Edwards ชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของ Mt.Gox นั้นจะส่งผลกระทบต่อตลาดเป็นอย่างมาก ซึ่งทาง Swan บริษัทให้คำปรึกษาเรื่อง Bitcoin ก็เห็นด้วยเช่นกัน พร้อมระบุว่า Bitcoin ยังคงต้องเผชิญหน้าต่อแรงกดดันด้านอุปทาน หลังทางรัฐบาลเยอรมันยังคงทยอยเทขายอย่างต่อเนื่อง
ที่มา : Cointelegraph