Immunefi ผู้ดูแลความปลอดภัยบนบล็อกเชนได้ออกมารายงานว่า สกุลเงินดิจิทัลที่ถูกแฮกทั้งหมดกว่า 77.8% ไม่สามารถฟื้นตัวในด้านราคาหลังจากเกิดการโจมตีขึ้น เนื่องจากการโจมตีส่งผลกระทบด้านลบในด้านราคาอย่างต่อเนื่องในช่วงหกเดือนหลังการแฮก นอกจากนี้อีก 51.1% ของโทเค็นที่ถูกแฮกมีราคาลดลงมากกว่า 50% หลังจากเหตุการณ์การแฮกในช่วงหกเดือน
โดยรายงานฉบับนี้ถูกเผยแพร่หลังจากเหตุการณ์การแฮกครั้งใหญ่ที่มีการขโมยเงินกว่า 230 ล้านดอลลาร์จาก WazirX ซึ่งแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในอินเดีย ที่ถือเป็นการแฮกครั้งที่สองที่ใหญ่ที่สุดในปี 2024
ซึ่ง Mitchell Amador ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Immunefi ได้อธิบายว่า โปรโตคอลที่ถูกแฮกได้รับความเสียหายมากที่สุดหลังจากการแฮก นอกจากนี้โครงการยังต้องเผชิญกับการสูญเสียจากผลกระทบตลาด ทั้งการพึ่งพาผู้อื่น รวมถึงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูทีมงาน และความเสียหายทางจิตใจ
แม้ว่าในอดีต แอปพลิเคชันทางการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) มักจะเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ในปี 2024 นี้ โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบรวมศูนย์ (CeFi) กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด โดยตลาดมีการสูญเสียมากที่สุดจากการโจมตี Amador ซึ่งเป็นการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานอย่างการขโมย Private key ซึ่งเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงที่สุด จนสามารถนำไปสู่การขโมยเงินทุนทั้งหมด
โดยในปี 2024 นี้ มีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่ารวม 1.19 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกขโมยไป ซึ่งเงินมูลค่ากว่า 636 ล้านดอลลาร์มาจากการโจมตี CeFi ที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก CeFi เช่น แพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล มักมีเงินทุนจำนวนมากที่ดึงดูดแฮกเกอร์
นอกจากนี้ Amador ยังกล่าวว่าสกุลเงินดิจิทัลที่มีทีมงานที่แข็งแกร่งและมีระบบนิเวศขนาดใหญ่ เช่น BNB Chain, SushiSwap, THORChain, Olympus และ Optimism มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ดีกว่าหลังจากเหตุการณ์การแฮก เนื่องจากพวกเขามีอำนาจในการซื้อที่มากกว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
อย่างไรก็ตาม การแฮกในวงการคริปโตยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญของการยอมรับคริปโตในวงกว้าง ในขณะที่จำนวนเงินที่ถูกขโมยในปี 2024 อาจจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงต้นปีเพียงเดือนกุมภาพันธ์ ที่มีการขโมยมูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2023
ที่มา: Cointelegraph