<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

รวบ 6 ตร.ไซเบอร์ !  ยัดข้อหาพาสปอร์ตปลอม รีดเงินคริปโต 10 ล้าน USDT จากนักธุรกิจชาวจีน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2567 พ.ต.ต.ชัยรัตน์ ธรรมสีเทา สว.(สอบสวน)สน.บางซื่อ ปฏิบัติราชการ สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งจากนายไซ หรือ MR.SAI ผู้เสียหาย สัญชาติวานูอาทูน พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหรู ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมกับภรรยา เพื่อนชาวจีน 2 คน แม่บ้าน ชาวเมียนมา 1 คน รวมเป็น 5 คน

กระทั่งเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ช่วงบ่ายโมง ขณะที่นายไซ กำลังพักอยู่ในบ้าน มีกลุ่มผู้ต้องหา แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมแสดงเอกสารอ้างว่าเป็นหมายค้นของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งผู้เสียหายและบุคคลภายในบ้านไม่สามารถอ่าน-เขียนภาษาไทยได้ เมื่อเห็นเอกสารตราครุฑ จึงเชื่อว่าเป็นเอกสารจริง และยินยอมให้เข้าค้นบ้านพักอาศัยหลังดังกล่าว

โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้อ่านหมาย และให้ล่ามแปลภาษา ชื่อว่าน.ส.อภัสรา แปลภาษาสื่อสารกับผู้เสียหาย พร้อมกับได้ใช้โทรศัพท์มือถือเปิดพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด โดยอ้างว่ามีผู้ต้องหาชาวฟิลิปปินส์จำนวน 4 ราย โดย 1 ใน 4 รายนั้นได้ให้การซัดทอดว่านายไซ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมพาสปอร์ต ซึ่งถูกจับและถูกดำเนินคดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ไปแล้ว

นายไซ ให้การปฏิเสธว่าไม่เคยความเกี่ยวข้อง ในการเข้าค้นครั้งนี้ กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดมีจำนวน 8 นาย และมีล่ามแปลภาษาจีนชื่อนางสาวอภัสรา หรือทราย กับสามีชาวจีนของล่าม รวมเป็น 10 คน จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้ทำการยึดโทรศัพท์มือถือของทุกคนในบ้าน และเครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 1 เครื่อง เพื่อไปตรวจสอบ

ต่อมาหัวหน้าชุดจับกุมได้แจ้งกับนายไซ ว่าการจ้างแม่บ้านซึ่งเป็นชาวต่างด้าวอยู่ในบ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น อาจต้องถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอีกกระทง 1 ด้วย ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว เพราะไม่ทราบข้อกฎหมายของไทย และกลุ่มผู้ต้องหายังทำการข่มขู่กรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย โดยได้ให้น.ส.อภัสรา หรือทราย สื่อสารเรียกรับเงิน 300 ล้านบาท หรือ เงินสกุลดิจิทัล จำนวน 10 ล้าน USDT หรือประมาณ 33 ล้านบาท เพื่อแลกกับการจบคดีและไม่ถูกดำเนินคดี

แต่ทางนายไซ ผุู้เสียหายแจ้งว่าไม่มีเงินสกุลไทยมากขนาดนั้น และไม่มีความผิด หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่ชุดจับกุมกล่าวอ้าง จึงไม่ตกลงด้วย ชุดจับกุมดังกล่าวจึงควบคุมตัวนายไซ พร้อมภรรยา เพื่อนชาวจีนชื่อเหวิน และแม่บ้าน ขึ้นรถเดินทางมาที่ศูนย์ราชการฯ อาคารบี โดยระหว่างที่มาถึงได้ทำการพูดคุยเจรจากันอีกครั้ง เปลี่ยนแปลงยอดเงินเป็น 10 ล้านบาท แต่นายไซก็ไม่ได้ตกลง จนเวลาประมาณ 17.00 น. จึงควบคุมตัวนายไซ และภรรยา ไปยังกก.1บก.สอท.1

โดยกลุ่มผู้ต้องหา ได้สอบปากคำเพียงนายไซ และภรรยา ห้ามไม่ให้เพื่อนชาวจีนชื่อเหวิน และแม่บ้าน เข้าไป ระหว่างที่สอบปากคำ กลุ่มผู้ต้องหา พร้อมกับ น.ส.อภัสรา และสามีชาวจีน ได้มีการพูดคุยเพื่อต่อรองเรียกเงินกับนายไซ จนท้ายที่สุดนายไซได้ยอมโอนเงิน 5 ล้านบาท แต่นายไซมีเงินสกุลไทยไม่เพียงพอ จึงโอนเงินสกุลดิจิทัล เข้ากระเป๋าดิจิทัลวอลเล็ทของ น.ส.อภัสรา จำนวน 149,253 UDST

และเมื่อได้รับเงินครบถ้วนแล้ว กลุ่มผู้ต้องหาได้จัดทำเอกสาร และให้ผู้ถูกควบคุมทั้ง 4 คน มาถ่ายคลิปวีดีโอ ประกอบการทำสำนวน แจ้งว่าตรวจสอบแล้ว ไม่พบการกระทำความผิดใดๆ พร้อมทั้งคืนโทรศัพท์มือถือให้แก่ผู้ถูกควบคุมทั้ง 4 คน แต่ไม่ได้คืนคอมพิวเตอร์ให้แก่นายไซ

ต่อมาวันที่ 17 ต.ค. น.ส.อภัสรา หรือทราย ได้ประสานกับนายเหวินผ่านเทเลแกรมของนายไซ ที่นายเหวินกำลังถือโทรศัพท์อยู่ ว่าหากต้องการทราบว่าใครเป็นผู้แจ้งให้ไปจับกุมตัว ให้โอนเงินมาเพิ่มอีก 700,000 บาท นายไซจึงโอนเงินเงินดิจิทัล เข้ากระเป๋าเงิน น.ส.อภัสรา อีก 20,895 UDST ภายหลังไม่ได้รับการติดต่อจากล่าม

นายไซ จึงมอบอำนาจให้ทนายความเข้าร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่กก.1 บก.สอท.1 เพื่อตรวจสอบสาเหตุการเข้าค้น และควบคุมตัว และได้ทราบว่าบุคคลที่มีรายชื่อ เป็นผู้ถูกกล่าวหา จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กก.1บก.สอท.1 จึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดให้ได้รับโทษตามกฎหมาย

จากการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาต่อศาลโดยเร่งด่วน กระทั่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ได้จับกุมผู้ต้องหา 7 ราย เป็นตำรวจ 6 นาย สังกัด บก.สอท.1 และไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 ราย ทราบชื่อคือ พ.ต.ท.ชนะชัย อายุ 41 ปี ร.ต.อ.อำนวย อายุ 42 ปี ด.ต.ชยพล อายุ 43 ปี ด.ต.พรเทพ อายุ 46 ปี ด.ต.มนัสวี อายุ 41 ปี ด.ต.สยาม อายุ 49 ปี นายธวุท อายุ 43 ปี

เบื้องต้นแจ้งข้อหา เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียกรับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ , เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียกรับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ ก่อนตัวนำส่ง พงส.เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ที่มา:khaosod