เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนหลายท่านก็เกิดความวิตกกังวลไปตามๆกัน เมื่อ Bitcoin ราคาร่วงลงจาก 69,000 ดอลลาร์ จนเหลือ 60,800 ดอลลาร์ ซึ่งราคาดิ่งลงกว่า 18% เมื่อเทียบกับราคาสูงสุดตลอดกาลของเดือนนี้ที่ 73,800 ดอลลาร์
ราคา Bitcoin ที่ลดลงบางส่วน เกิดจากเงินทุนที่ไหลออกจากกองทุน Bitcoin Spot ETF 11 กองทุน ข้อมูลที่ Farside Investors รวบรวมระหว่างวันที่ 18-21 มีนาคม ชี้ว่า มีเงินทุนมูลค่ารวม 836 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไหลออกจากกองทุนเหล่านี้
ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Farside Investors พบว่าเมื่อวันที่ 18 – 21 มีนาคมที่ผ่านมา มีปริมาณเงินที่ไหลออกจาก Bitcoin Spot ETF จำนวน 11 กองทุน คิดเป็นมูลค่า 836 ล้านดอลลาร์ คาดการณ์ว่านี่อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคา Bitcoin ปรับตัวลดลง
สำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่กำลังรู้สึกลังเลเกี่ยวกับการถือ Bitcoin ในช่วงที่เหตุการณ์ Bitcoin Halving ใกล้เข้ามาถึง ทางสยามบล็อกเชนขอนำเสนอคำแนะนำจากกูรูทั้งสามท่านที่จะมาแบ่งปันกลยุทธ์สำหรับการเทรดในตลาดปัจจุบัน
Lucas Kiely ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Yield App
นับตั้งแต่มีการเปิดตัว Bitcoin Spot ETF ราคา Bitcoin ก็ดูเหมือนจะเต้นตามจังหวะของตลาดหุ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาเปิดตลาด สภาพคล่อง (liquidity) จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและราคา (price action) ก็มักจะเปลี่ยนแปลง
ช่วงเวลาสำคัญ:
- 4 โมงเย็น ตามเวลาลอนดอน, FX Fix: การรีเซ็ตเงินทุนสำหรับสกุลเงินดิจิทัลตรงกับช่วงเวลานี้พอดี
- 9:30 น. ตามเวลานิวยอร์ก: ตลาดหุ้นของสหรัฐฯ เปิดทำการ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวราคา
- 5 โมงเย็น ลอนดอน: นักเทรดยุโรปปิดตลาด ส่วนนิวยอร์กพักกลางวัน
- 4 โมงเย็น นิวยอร์ก: ตลาดหุ้นสดของสหรัฐฯ ปิดทำการ สร้างโอกาสสำคัญอีกครั้ง
ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นเวลาทองของเราในการติดตามความเคลื่อนไหวของ Bitcoin และสะสมผลกำไรอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่ต้องระวัง: หากนอกกรอบเวลาเหล่านี้ สภาพคล่องจะลดลง และการแกว่งของราคารุนแรงมากขึ้น ถ้าเทรดถูกจังหวะก็อาจได้ผลกำไรมหาศาล แต่ถ้าเทรดผิดจังหวะอาจขาดทุนยับเยิน
เคล็ดลับ:พิจารณาสภาพคล่องของตลาดตราสารทุนที่จะเพิ่มขึ้น สูตรลับของผม คือ การใช้กลยุทธ์ซื้อตามโมเมนตัมที่รวดเร็ว ผมซื้อช่วงขาลงและขายช่วงขาขึ้น ที่สำคัญคือการ cut loss ให้ไวที่สุด เมื่อรู้ว่าเราขาดทุน ซึ่งผลลัพธ์คือ ผมสามารถทำกำไรได้ 10% จากการเทรด Bitcoin ในเดือนนี้
Michael van de Poppe ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง MN Trading Consultancy
ปริมาณเงินที่ไหลออกจากกองทุน Bitcoin Spot ETF น่าจะมาจากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ครั้งล่าสุด ทำให้ตลาดทุนและสถาบันการลงทุนต่างๆมีแนวโน้มจะลดความเสี่ยงก่อนประชุม FOMC
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลกระทบตลาดสินทรัพย์เสี่ยง นั่นเป็นเรื่องปกติ ท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์นี้ไม่ควรส่งผลกระทบใดๆ ต่อตลาดเลย เพราะ Jerome Powell (ประธานธนาคารกลางสหรัฐ) มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ส่งผลให้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุด ผู้ที่ลงทุน Bitcoin ใน ETF ไม่ควรซื้อขายตามกระแสข่าว ควรถือครองระยะยาวมากกว่า ถึงแม้ว่าความสนใจในการลงทุน Bitcoin Spot ETF จะมีแนวโน้มที่ลดลง แต่มูลค่าของ Bitcoin จะยังคงสูงขึ้นในอนาคต
เคล็ดลับ: คำแนะนำของผมคือการสวนกระแส คุณควรเข้าซื้อ Bitcoin ช่วงที่มันราคาลดลง คุณจะได้ถือครองในราคาที่ต่ำ จากนั้นก็เข้าสะสมในช่วงที่ Bitcoin ปรับลดลง 15 – 40% เพื่อสร้างกำไรในสภาวะตลาดกระทิงรอบหน้า
Chris Newhouse นักวิเคราะห์ DeFi ที่ Cumberland Labs
ผมคิดว่าผู้คนทั่วไปเข้าใจความผันผวนของคริปโตเคอร์เรนซีที่เกิดขึ้นตามข่าว ซึ่งนักลงทุนในปัจจุบันควรแยกให้ออกระหว่างการซื้อประเภท “FOMO” (กลัวตกรถ) แยกออกจากการลงทุนระยะยาว รวมถึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความผันผวนที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ และคุณต้องถามตัวคุณก่อนว่าคุณเข้ามาลงทุนใน Bitcoin Spot ETF เพราะภาวะ FOMO หรือ ต้องการลงทุนระยะยาวกันแน่?
หากคุณซื้อเพราะภาวะ FOMO ควรมุ่งเน้นไปที่การซื้อขายตามจังหวะเวลาและโมเมนตัม หากคุณซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว จำเอาไว้ว่าการ DCA (Dollar-Cost-Averaging) คือ เพื่อนของคุณ
เคล็ดลับ: ผมค่อนข้างเน้นการวาง “stink bids” (ยื่นคำสั่งซื้อในราคาที่ต่ำกว่าปกติ)เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ซึ่งเราอาจจะเห็นการเคลื่อนไหวของราคาที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นก่อนช่วง halving
การ stink bids ทำให้ตลาดรู้สึกเหมือนมีคนรอซื้อตลอดเวลา ทั้งเหรียญกระแสหลัก เหรียญกระแสรอง ไปจนถึงเหรียญ altcoin ยอดนิยม เมื่อตลาดอยู่ในภาวะ “ buy-the-dip” มันจะสร้างความกดดันครั้งใหญ่ ที่ส่งผลให้นักลงทุนต่างๆเข้ามาซื้อคริปโตช่วงเวลานี้ ส่งผลให้ราคาคริปโตเคอร์เรนซีเกิดการปรับฐานจนสร้างกำไรในที่สุด
ที่มา: cointelegraph