เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 มีข่าวลือแพร่กระจายอย่างหนักในโซเชียลมีเดียว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขายบิตคอยน์ (BTC) ออกไปมากกว่า 80% จนเหลือเพียงประมาณ 28,988 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,400 ล้านดอลลาร์ ข่าวนี้สร้างความตื่นตระหนกอย่างมากในแวดวงคริปโต เนื่องจากต้นทางมาจากรายงานของสื่อชื่อดัง Bitcoin Magazine ที่อ้างข้อมูลจาก US Marshals Service (USMS) ซึ่งทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าอาจมีการเทขายครั้งใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ
สถานการณ์ยิ่งร้อนแรงเมื่อ Cynthia Lummis วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ และผู้สนับสนุน Bitcoin โพสต์แสดงความกังวลบนแพลตฟอร์ม X (Twitter) โดยระบุว่า หากข่าวนี้เป็นจริงจะเป็นความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ และอาจทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันด้านสินทรัพย์ดิจิทัลไปหลายปี ข้อความดังกล่าวยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดและกระตุ้นการถกเถียงอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ได้รับการยืนยันคือ ข้อมูลที่ระบุว่า USMS ถือครองเพียง 28,988 BTC ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีบิตคอยน์เพียงเท่านี้ เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยึดได้ยังถูกเก็บรักษาโดยหน่วยงานอื่น เช่น FBI, DOJ, DEA และสำนักงานอัยการสหรัฐฯ ข้อมูลล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงถือครองบิตคอยน์รวมไม่น้อยกว่า 198,000 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 23,500 ล้านดอลลาร์ และที่สำคัญคือบิตคอยน์เหล่านี้ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหักล้างข่าวลือเรื่องการขายล็อตใหญ่โดยสิ้นเชิง
การถือครองบิตคอยน์จำนวนมหาศาลนี้มีที่มาจากการยึดทรัพย์ในหลายคดีที่โด่งดัง หนึ่งในนั้นคือคดี Bitfinex Hack ที่เกิดขึ้นในปี 2016 ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถยึดบิตคอยน์คืนได้ในปี 2022 จากผู้ต้องหา Ilya Lichtenstein และ Heather “Razzlekhan” Morgan รวมทั้งหมด 114,599 BTC มูลค่าปัจจุบันราว 13,650 ล้านดอลลาร์ บิตคอยน์เหล่านี้เดิมเป็นของลูกค้า Bitfinex และคาดว่าจะถูกส่งคืนตามกระบวนการกฎหมายในอนาคต อีกคดีใหญ่คือ Silk Road โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ยึดทรัพย์จากบุคคลที่เรียกว่า Individual X ในปี 2020 จำนวน 69,370 BTC มูลค่าราว 8,260 ล้านดอลลาร์ และในปี 2021 มีการยึดเพิ่มจาก James Zhong อีก 51,680 BTC โดยบิตคอยน์บางส่วนได้ถูกขายออกแล้วผ่าน Coinbase Prime ประมาณ 41,700 BTC ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023
นอกจากนี้ยังมีการยึดบิตคอยน์จากคดีอื่น ๆ เช่น Ryan Farace ในปี 2021 จำนวน 2,874.9 BTC มูลค่าประมาณ 342 ล้านดอลลาร์ การยึดจากบัญชี Alameda Research มูลค่า 81.25 ล้านดอลลาร์ และการยึดจาก Sergei Potapenko และ Ivan Turogin มูลค่า 79.49 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขายบิตคอยน์หลายครั้งตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2024 เช่น ในปี 2014-2015 มีการขายรวมกว่า 173,000 BTC ในราคาต่ำสุดเพียง 270–632 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ซึ่งมีมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ และในปี 2023-2024 มีการขายล็อตใหญ่จากคดี James Zhong หลายรอบ เช่น เดือนมีนาคม 2023 ขาย 9,861 BTC มูลค่า 215 ล้านดอลลาร์ และในเดือนธันวาคม 2024 ขายอีก 10,000 BTC มูลค่าเกือบ 969 ล้านดอลลาร์
แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะเคยขายบิตคอยน์ออกไปหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันยังถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมาก โดยไม่มีการเคลื่อนไหวของบิตคอยน์ในสัดส่วนใหญ่ตลอด 4 เดือนหลังสุด ทำให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ถือบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดของโลก และตลาดยังคงจับตากลยุทธ์ของรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะในช่วงที่บิตคอยน์กลับมาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นและมีบทบาทสำคัญต่อระบบการเงินดิจิทัลในระดับโลก
ที่มา: x

