เสียงเฮของนักลงทุนดังก้องไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อราคา Bitcoin (BTC) พุ่งทะยานทลายกำแพงราคาสูงสุดเดิม สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ระดับ 124,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4.5 ล้านบาท ตัวเลขสีเขียวบนกระดานได้สร้างความมั่งคั่งมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างคำถามสำคัญให้กับผู้ที่กำลังจับตาอยู่ข้างสนาม:
“ราคานี้…แพงเกินไปแล้วหรือยัง?” “เราพลาดขบวนรถไฟที่สำคัญที่สุดไปแล้วใช่ไหม?”
ความรู้สึก “ตกรถ” หรือ FOMO (Fear Of Missing Out) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอเมื่อราคาสินทรัพย์ใดๆ พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง แต่หากเรามองลึกลงไปใต้พื้นผิวของตัวเลขบนกระดาน ข้อมูลและแนวโน้มที่เกิดขึ้นในปี 2025 กลับกำลังส่งสัญญาณที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
สัญญาณที่บอกว่าจุดสูงสุดใหม่ในครั้งนี้ อาจไม่ใช่ “ยอดดอย” ที่รอวันดิ่งเหว แต่เป็นเพียง “ค่ายฐาน (Base Camp)” แห่งใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม สำหรับการเดินทางไต่สู่ยอดเขาที่สูงกว่าซึ่งเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
บทความนี้จะพาไปสำรวจ 4 เหตุผลสำคัญเชิงโครงสร้าง ที่นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนระดับโลกกำลังจับตามอง ซึ่งบ่งชี้ว่าทำไมราคา Bitcoin ในปัจจุบันอาจยังเป็นเพียง “ตีนเขา” เมื่อเทียบกับศักยภาพที่แท้จริงของมันในอนาคต
1. การยอมรับในระดับองค์กร ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไปของการถือครองสินทรัพย์
แนวโน้มที่น่าจับตาที่สุดประการหนึ่งคือการที่บริษัทมหาชนเริ่มเข้าสะสม Bitcoin โดยตรงในฐานะสินทรัพย์คงคลังเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลล่าสุดในปี 2025 ชี้ให้เห็นว่า ยอดการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรงจากบริษัทมหาชนมีมูลค่าสูงถึง 47.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ากระแสเงินทุนไหลเข้าสุทธิของกองทุน Spot ETF ที่ 31.7 พันล้านดอลลาร์
ตัวเลขนี้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ จากเดิมที่องค์กรอาจมอง Bitcoin เป็นเพียงการลงทุนผ่านตัวกลาง ไปสู่ความเชื่อมั่นในระยะยาวที่ต้องการเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรง ปรากฏการณ์ “บริษัทคลัง Bitcoin” (Bitcoin Treasury Companies) ที่เคยจำกัดอยู่แค่ไม่กี่บริษัท ได้ขยายวงกว้างไปทั่วโลก สิ่งนี้อาจกำลังเปลี่ยนมุมมองด้านความเสี่ยงสำหรับผู้บริหารฝ่ายการเงิน จากที่เคยมองว่าการถือ Bitcoin เป็นความเสี่ยงสูง การไม่จัดสรรเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ประเภทนี้เลยอาจถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงจากการเสียโอกาส (Opportunity Cost) ในภาวะที่เงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยท้าทาย
2. Spot ETF ตัวแปรใหม่ที่เปลี่ยนโครงสร้างอุปสงค์ของตลาด
การอนุมัติและเปิดตัว Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐอเมริกาได้สร้างแหล่งอุปสงค์ใหม่ที่ทรงพลัง โปร่งใส และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักลงทุนในวงกว้าง ซึ่งได้เปลี่ยนโครงสร้างของตลาดไปอย่างถาวร
- อุปสงค์ที่วัดผลได้ แตกต่างจากในอดีตที่ความต้องการของสถาบันเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ยาก ปัจจุบันทุกคนสามารถติดตามตัวเลขเงินทุนไหลเข้า-ออกของ ETF ได้แบบรายวัน ซึ่งกลายเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่นของตลาดที่สำคัญ ณ กลางปี 2025 กระแสเงินทุนไหลเข้าสุทธิของ ETF ได้ทำสถิติใหม่ แซงหน้ายอดรวมของปี 2024 ทั้งปีไปแล้ว
- ผู้เล่นรายใหญ่ในสนาม กองทุน iShares Bitcoin Trust (IBIT) ของ BlackRock เพียงกองเดียว ได้กลายเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลสูง โดยถือครอง Bitcoin ไปแล้วกว่า 662,500 BTC
การมีอยู่ของ ETF ได้สร้างกลไกที่อาจช่วยพยุงราคาในช่วงปรับฐาน และเป็นแหล่งอุปสงค์ที่ค่อนข้างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่เคยมีอยู่ในวัฏจักรก่อนๆ และอาจทำให้พฤติกรรมของตลาดในภาพรวมมีความผันผวนที่ “เชื่อง” ลงกว่าในอดีต
3. ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ การลดความเสี่ยงครั้งสำคัญ
ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่ขัดขวางการยอมรับ Bitcoin ในวงกว้างมาโดยตลอด แต่ในปี 2025 ได้เกิดความคืบหน้าครั้งสำคัญในเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งของโลก
- สหรัฐอเมริกา การผ่านกฎหมาย GENIUS Act เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2025 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ กฎหมายนี้ได้วางกรอบการกำกับดูแลระดับสหพันธรัฐที่ชัดเจนสำหรับ Stablecoin ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของระบบนิเวศคริปโต การสร้างความชัดเจนนี้ช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบ และอาจเปิดทางให้สถาบันการเงินดั้งเดิมสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
- สหภาพยุโรป: กฎระเบียบ MiCA ที่มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ได้สร้างกรอบการกำกับดูแลที่เป็นหนึ่งเดียวกันใน 27 ประเทศสมาชิก ซึ่งให้ความแน่นอนทางกฎหมายและสร้างตลาดเดี่ยวสำหรับสินทรัพย์คริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ความชัดเจนเหล่านี้อาจเป็น “สัญญาณไฟเขียว” ที่สถาบันการเงินที่มีความอนุรักษ์นิยมสูง เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ รอคอยมานาน เพื่อเริ่มพิจารณาการจัดสรรเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ประเภทนี้อย่างจริงจัง
4. พลวัตด้านอุปทานและอุปสงค์ที่เปลี่ยนไป
ในขณะที่ฝั่งอุปสงค์มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน ฝั่งอุปทานก็มีกลไกเฉพาะตัวที่อาจสร้างแรงกดดันต่อราคาในระยะยาว นั่นคือปรากฏการณ์ Halving ซึ่งเกิดขึ้นล่าสุดในเดือนเมษายน 2024
- อุปทานใหม่ที่ลดลง Halving คือการลดจำนวน Bitcoin ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ลงครึ่งหนึ่งโดยอัตโนมัติทุกๆ 4 ปี หลังจากการ Halving ในปี 2024 อุปทานใหม่ได้ลดลงเหลือเพียงประมาณ 450 BTC ต่อวัน
- อุปสงค์ที่อาจสูงกว่าอุปทาน เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะจากกองทุน ETF จะเห็นว่าในบางช่วงเวลา ปริมาณการซื้อของ ETF เพียงอย่างเดียวก็สูงกว่าจำนวน Bitcoin ที่ขุดได้ใหม่ทั้งหมดอย่างมีนัยสำคัญ
- ผู้ซื้อระยะยาว ที่สำคัญคือ ผู้ซื้อรายใหญ่ในวัฏจักรนี้จำนวนมากเป็นสถาบันและองค์กรที่มีกรอบเวลาการลงทุนระยะยาว การเข้าซื้อของพวกเขาอาจเป็นการนำเหรียญออกจาก “อุปทานหมุนเวียน” (Circulating Supply) ไปสู่ “อุปทานที่ไม่มีสภาพคล่อง” (Illiquid Supply) ซึ่งหากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ก็อาจทำให้สินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะขาดแคลนมากขึ้นในตลาด
บทสรุป
เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้ง 4 ประการร่วมกัน ได้แก่ การยอมรับในระดับองค์กร, โครงสร้างอุปสงค์ใหม่จาก ETF, ความชัดเจนด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น และพลวัตด้านอุปทานจาก Halving จึงเกิดเป็นภาพฉายที่ว่าตลาด Bitcoin ในปัจจุบันอาจกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ
กรอบการประเมินมูลค่าหนึ่งที่นักลงทุนสถาบันมักใช้อ้างอิงคือการเปรียบเทียบ Bitcoin กับทองคำในฐานะ “สินทรัพย์รักษามูลค่า” ปัจจุบันมูลค่าตลาดของทองคำอยู่ที่ประมาณ 23.2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ช่องว่างนี้แสดงให้เห็นถึงพื้นที่การเติบโตที่เป็นไปได้ หาก Bitcoin สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งความเชื่อมั่นจากทองคำมาได้สำเร็จ
แน่นอนว่าอนาคตยังคงมีความไม่แน่นอน และความผันผวนยังคงเป็นลักษณะเฉพาะตัวของสินทรัพย์ประเภทนี้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้สร้างเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมราคาปัจจุบันอาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของวัฏจักรใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม และการเดินทางสู่ยอดเขาที่แท้จริงอาจยังรออยู่ข้างหน้า
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลและการศึกษาเท่านั้น เนื้อหาที่ปรากฏเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข่าวสาธารณะต่างๆ ณ วันที่เผยแพร่ และไม่ได้มีเจตนาเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน กฎหมาย หรือภาษี การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ (Do Your Own Research) และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ ทางผู้จัดทำจะไม่รับผิดชอบต่อผลกำไรหรือขาดทุนใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนตามข้อมูลในบทความนี้

