Ethereum ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวันนี้ โดยราคาได้พุ่งทะยานทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) เดิมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! คลื่นความเชื่อมั่นจากงานประชุมที่แจ็กสันโฮลได้ส่งผลให้ราคา ETH ทะยานขึ้นกว่า 14% ในวันที่ 22 สิงหาคม และโมเมนตัมดังกล่าวได้ส่งผลต่อเนื่องมาจนทำให้ราคาพุ่งทะลุจุดสูงสุด มาอยู่ที่ 4,885 ดอลลาร์สหรัฐ
การฟื้นตัวอย่างร้อนแรงของ ETH และตลาดคริปโตในวงกว้างเกิดขึ้นหลังจากที่ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในนโยบายการเงินระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่แจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง โดยระบุว่า “ความสมดุลของความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปอาจรับประกันได้ว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนจุดยืนทางนโยบายของเรา”
“นี่เป็นข่าวดีสำหรับสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งบิตคอยน์ถือเป็นม้าเร็วในเกมนี้” เจสซี กิลเกอร์ ที่ปรึกษาการลงทุนของ Unchained กล่าว “ท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้นอาจช่วยเติมเชื้อไฟให้กับเรื่องเล่าของ BTC ในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสกุลเงินทั่วไป”
การที่ Ethereum สามารถทลายแนวต้านสำคัญและสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้สำเร็จ ทำให้นักวิเคราะห์มองไปยังเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีก มาร์ซิน คาซเมียร์ซัก ผู้ร่วมก่อตั้ง RedStone มองว่าปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างกระแสเงินทุนจากสถาบันผ่าน Spot ETF และกิจกรรมบนเครือข่าย DeFi ที่ฟื้นตัว จะเป็นรากฐานสำคัญให้ ETH มีโอกาสไปถึงช่วงราคา 5,000-6,000 ดอลลาร์ ที่นักวิเคราะห์ตั้งเป้าไว้สำหรับปี 2025
ในขณะเดียวกัน อาร์เธอร์ เฮย์ส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Maelstrom ได้คาดการณ์อย่างกล้าหาญว่าโมเมนตัมของ Ethereum อาจผลักดันให้ราคาทะยานไปถึง 20,000 ดอลลาร์ ภายในสิ้นสุดวัฏจักรนี้ “กราฟมันบอกว่าจะสูงขึ้นไปอีก คุณไม่สามารถสู้กับตลาดได้ ผมคิดว่า [Ethereum] จะไปถึง $10,000, $20,000 ก่อนสิ้นสุดวัฏจักรนี้” เฮย์สกล่าว
ความเชื่อมั่นเชิงบวกได้แผ่ขยายไปยังตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน โดยบริษัทที่มี ETH ในคลังจำนวนมากได้เห็นราคาหุ้นของตนดีดตัวสูงขึ้นตามราคาเหรียM โดยหุ้นของ Bitmine Immersion และ SharpLink Gaming พุ่งขึ้น 14% และ 12% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังคงมีความซับซ้อน แม้ว่ากองทุน ETF ที่เน้นลงทุนใน Ether จะมีเงินไหลเข้า 287.6 ล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี แต่ก็ยังคงอยู่ในเส้นทางที่จะเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างการเก็งกำไรระยะสั้นและความต้องการลงทุนระยะยาวของสถาบัน ซึ่งยังคงขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายของ Fed ที่ยังไม่แน่นอน
ที่มา: crypto.news