รัฐบาลทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสนใจกับแนวคิด “คลังสำรองคริปโตเชิงกลยุทธ์” หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาเสนอให้ใช้คริปโตที่ยึดจากอาชญากรเป็นสินทรัพย์สำรองของรัฐ โดยเชื่อว่า Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลจะกลายเป็นพลังใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในอนาคต
บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน Chainalysis เปิดเผยว่า มูลค่าคริปโตที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมผิดกฎหมายและอยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถ “เข้าถึงได้จริง” มีมากกว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้แบบ On-chain ในวอลเล็ทและแพลตฟอร์มต่าง ๆ
Jonathan Levin ซีอีโอของ Chainalysis กล่าวว่า “นี่คือศักยภาพการยึดทรัพย์สินดิจิทัลในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และอาจเปลี่ยนวิธีคิดของรัฐบาลทั่วโลกต่อคริปโตไปอย่างสิ้นเชิง”
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve โดยใช้สินทรัพย์ดิจิทัลที่ยึดจากอาชญากรเป็นทุนตั้งต้น Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจุบันถือครอง Bitcoin มูลค่า 1.5–2 หมื่นล้านดอลลาร์ แล้ว
นอกจากสหรัฐฯ แล้ว หลายประเทศเริ่มขยับตาม เช่น เอลซัลวาดอร์, ภูฏานสาธารณรัฐเช็ก, สวีเดน ขณะที่ สหราชอาณาจักร เองก็เคยยึด Bitcoin ได้กว่า 61,000 BTC ตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าเกือบ 7 พันล้านดอลลาร์
รายงานจาก Chainalysis ระบุว่า กลุ่มอาชญากรโดยตรงถือครองคริปโตบนเชนกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยกว่า 75% เป็น Bitcoin และเมื่อรวมกับ Ether และ Stablecoin มูลค่ารวมเพิ่มขึ้นถึง 359% เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน
ส่วนกระเป๋าเงินที่เชื่อมโยงทางอ้อมกับกิจกรรมอาชญากรรม ถือครองอีกกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการในตลาดมืด (Darknet Marketplaces) ที่ถือเงินคริปโตรวมกันมากกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้รัฐบาลจะเห็นโอกาสจากการใช้คริปโตที่ยึดได้เป็นสินทรัพย์สำรอง แต่เส้นทางนี้ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ, ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค, และต้นทุนการติดตามทรัพย์สินดิจิทัล
Levin ทิ้งท้ายว่า “สิ่งที่น่าจับตาคือ รัฐบาลจะเลือกใช้สินทรัพย์ที่ยึดมาเพื่อสร้างคลังสำรองระยะยาว หรือจะนำไปลงทุนเพื่อเสริมการปราบปรามเครือข่ายอาชญากร”
- ที่มาข่าว:fortune
- ที่มาภาพ:directorsandboard