<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

4 สาเหตุที่ Bitcoin อาจยังไม่สามารถพุ่งแตะจุดสูงสุดเดิมได้ในเร็ว ๆ นี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ราคา Bitcoin สามารถดีดกลับไปยืนเหนือระดับ $114,000 ได้ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุการณ์ Flash Crash เมื่อวันศุกร์ ที่ทำให้มูลค่าตลาดฟิวเจอร์สของ BTC ถูกล้างหายไปมูลค่ากว่า 19,000 ล้านดอลลาร์ แม้จะเห็นความแข็งแกร่งของตลาดหลังการเทขายครั้งใหญ่ แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้การกลับไปทดสอบแนวต้านเดิมที่ $125,000 ถูกยืดออกไปอีกสักระยะหนึ่ง

1. ความสัมพันธ์กับหุ้นเทค

ตราบใดที่นักลงทุนยังคงมองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์เสี่ยงและยังมีความเคลื่อนไหวสอดคล้องกับหุ้นเทค Bitcoin ก็ยังไม่สามารถฟื้นกลับขึ้นไปได้ในเร็ววันนี้ เพราะมันยังคงต้องการการยืนยันชัดเจนว่าสภาพเศรษฐกิจและขาขึ้นจะกลับขึ้นมาจริง โดยความมั่นคงของตลาดถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากสำหรับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง

2. สถานการณ์ความตึงเครียดระดับนานาชาติ

ถัดมาคือประเด็นของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่ทำทั้งโลกปั่นป่วน และปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นแค่คำขู่ หรือจะเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง แม้ว่าปัจจุบันทั้ง Donald Trump และ Scott Bessent จะแง้มมาแล้วว่าสามารถเข้าทำการเจรจาได้

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นักลงทุนยังคงหวาดระแวงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและหันเข้าหาสิ่งที่ปลอดภัยกว่าแทน เช่นทองคำที่เพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ เช่นเดียวกันกับความต้องการในพันธบัตรสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจนอัตราผลตอบแทนใกล้แตะระดับ $3.5% 

3.ทิศทางที่ยังไม่นิ่ง

นอกจากแรงกดดันจากตลาดโลกแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็ยังคงติดหล่มในวิกฤตชัตดาวน์ ที่ยืดเยื้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนไม่สามารถประเมินทิศทางของตลาดได้ชัดเจน เพราะข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายชุดถูกเลื่อนการเผยแพร่ ออกไป ส่งผลให้ตลาดขาดความชัดเจนในการประเมินแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะเดินหน้า ลดดอกเบี้ย ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้หรือไม่ สะท้อนให้เห็นถึง ภาวะตลาดที่เปราะบางและขาดทิศทางที่ชัดเจน ก่อนการกล่าวสุนทรพจน์ของ เจอโรม พาวเวลล์ ในคืนนี้

4.ช่องว่างของสภาพคล่อง และตลาดที่บอบช้ำ

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ สภาพคล่องของตลาดที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หลังจากเหตุการณ์ ล้างพอร์ตครั้งใหญ่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ Market Maker จำนวนไม่น้อยต้องขาดทุนและหยุดทำการเทรดชั่วคราว ความเคลื่อนไหวของตลาดจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในฝั่งตลาดฟิวเจอรส์ที่กิจกรรมการซื้อขายซบเซาลงมากกว่าปกติ

ขณะเดียวกัน ค่า Funding Rate ในตลาดฟิวเจอร์สยังคงอยู่ในแดนลบ (Short จ่าย Long) สะท้อนให้เห็นว่านักเทรดยังมีมุมมองเชิงลบต่อตลาด และยังไม่มั่นใจว่าการดีดกลับของราคาในระยะสั้นจะมีการยั่งยืนมากเพียงพอ

ปัจจุบัน ราคา Bitcoin ร่วงกลับมาที่ราว $111,900 หลังไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ $116,000 ได้ ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าตลาดยังคงอยู่ในช่วง ฟื้นตัวแบบเปราะบาง และอาจต้องใช้เวลาอีกระยะก่อนที่แรงซื้อจะกลับมาอย่างมั่นคง

ที่มา : Cointelegraph