ในการประชุมผลประกอบการไตรมาส 3 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา Devin McGranahan ซีอีโอของ Western Union เปิดเผยว่า บริษัท Western Union กำลังจะเริ่มทดสอบระบบโอนเงินแบบใหม่ที่ใช้ Stablecoin เป็นตัวกลาง เพื่อยกระดับบริการโอนเงินข้ามประเทศ ให้ทันยุคดิจิทัล สำหรับลูกค้ากว่า 150 ล้านคนทั่วโลก
ระบบการโอนเงินนี้จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นช่องทางสำหรับการชำระเงิน เพื่อลดการพึ่งพาระบบธนาคารแบบเดิม, ย่นระยะเวลาในการโอนเงิน, และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน
Devin McGranahan กล่าวว่า “เรามองเห็นโอกาสมหาศาล ในการทำให้การโอนเงินเร็วขึ้น โปร่งใสมากขึ้น และมีต้นทุนที่ต่ำลง โดยไม่กระทบต่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือความไว้วางใจของลูกค้า”
ปัจจุบัน Western Union ประมวลผลธุรกรรมมากกว่า 70 ล้านรายการต่อไตรมาส ซึ่งหากนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้จริง ก็อาจสร้างความได้เปรียบอย่างมาก เหนือระบบการโอนเงินแบบดั้งเดิม และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก

ก่อนหน้านี้ Western Union เคยหลีกเลี่ยงการใช้คริปโต เนื่องจากกังวลเรื่อง ความผันผวนของราคา, ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย, และการคุ้มครองผู้บริโภค แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป หลังจากที่สหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย GENIUS Act ที่เปิดทางให้การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลถูกกฎหมายมากขึ้น
การประกาศล่าสุดนี้ ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินใหญ่ ๆ ทั่วโลกเริ่มหันมาใช้ Stablecoin มากขึ้น โดยตลาด Stablecoin ตอนนี้ มีมูลค่ารวมทะลุ 300,000 ล้านดอลลาร์ แล้ว และกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คาดว่า มูลค่านี้ อาจพุ่งแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028
Western Union ยังชี้ว่า บริการของ Stablecoin ใหม่นี้ จะช่วยให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น และควบคุมเงินของตัวเองได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่ค่าเงินอ่อน และมีเงินเฟ้อสูง
“ในหลายประเทศ การได้ถือสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่ามีค่ามาก เพราะเงินเฟ้อ และการลดค่าเงินสามารถทำลายกำลังซื้อของคนได้อย่างรวดเร็ว”
McGranahan กล่าวว่า แนวคิดนี้สอดคล้องกับแผนใหญ่ของบริษัทในการ “ปรับโฉมระบบโอนเงินให้ทันสมัยและเข้ากับยุคดิจิทัลมากขึ้น”
ลิงก์ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ที่มา : cointelegraph

