ปัจจุบัน โลกของเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายกับเรื่อง Alice in Wonderland ที่ตัวละครต้องวิ่งเร็วเป็นสองเท่าเพียงเพื่อที่จะยืนอยู่ที่เดิม นั่นเป็นเพราะเทคโนโลยีกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนเราต้องพยายามอย่างหนัก เพื่อให้ตามทันทำให้การทำนายทิศทางในอนาคตอันใกล้อย่างปี 2026 จำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์ที่เจาะลึกและรอบด้าน
เราเห็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่เริ่มใช้ AI Agent ทำการตลาดแทนคน, หุ่นยนต์กลายเป็นของขวัญยอดนิยม, AI Assistant เริ่มตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ให้เราก่อนที่เราจะตื่นนอน, และเทคโนโลยีบล็อกเชน ถูกนำไปใช้ในธุรกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากสัญญาณเหล่านี้ ในบทความนี้ มาดูกันว่า 14 คำทำนายที่คาดว่า จะเปลี่ยนโลกที่เราคุ้นเคยไปอย่างสิ้นเชิงภายในปี 2026 จะมีอะไรบ้าง
1. บล็อกเชนจะกลายเป็น “ระบบพิสูจน์ความไว้วางใจ” สำหรับ AI
ภายในปี 2026 เทคโนโลยีบล็อกเชน จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ โดยบริษัท AI จำนวนมากจะนำบล็อกเชนมาใช้ เพื่อวัตถุประสงค์สำคัญ เช่น การสร้างลายเซ็นดิจิทัล, การตรวจสอบที่มาของข้อมูลหรือสินทรัพย์, และการยืนยันตัวตน เนื่องจากระบบ AI Agent อัตโนมัติ จะเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ
บริษัทต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นต้องพึ่งพา Log ข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไขได้ บนเครือข่าย บล็อกเชน เพื่อให้สามารถตรวจสอบ และทำความเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าการกระทำต่าง ๆ ของ AI นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง
การกระทำทุกอย่างของ AI Agent จะถูกบันทึกลงในบัญชีแยกประเภทที่โปร่งใส ซึ่งจะช่วยให้บริษัท สามารถดำเนินการในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ, การกำกับดูแล, และสามารถหาที่มาที่ไปของการตัดสินใจของ AI ได้ในระดับที่สูงขึ้น
2. เนื้อหาที่สร้างโดยมนุษย์ จะกลายเป็นมาตราฐานใหม่ที่น่าเชื่อถือ
การเปลี่ยนแปลงที่เน้นความจริงใจกำลังเริ่มต้นขึ้น โดยมีการใช้ ป้ายกำกับความเป็นของแท้ (Authenticity Label) บนบางแพลตฟอร์ม และคาดว่า ภายในปี 2026 การมี เนื้อหาที่สร้างจากมนุษย์จริง ๆ จะเป็น จุดแข็งในการแข่งขัน ที่สำคัญที่สุด
เมื่อ AI สามารถสร้าง “คอนเทนต์ขยะ” และเนื้อหาสังเคราะห์จำนวนมากออกมาเต็มอินเทอร์เน็ต การเล่าเรื่องและผลงานที่มาจากมนุษย์จะกลายเป็นของมีค่าที่หายาก
Mark Schaefer ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดกล่าวไว้ว่า “ศิลปะของมนุษย์จะยังคงอยู่” เพราะมันคือสิ่งที่ถ่ายทอดประสบการณ์และสร้างความผูกพันทางอารมณ์ ในโลกที่เต็มไปด้วยเนื้อหาปลอมหรือสังเคราะห์ขึ้น”เสียงของมนุษย์”, “ประสบการณ์จริง”, และ “ความคิดสร้างสรรค์แท้ ๆ” จะยิ่งโดดเด่น และมีคุณค่ามากกว่าที่เคยเป็นมา
3. การตลาดจะเริ่มมุ่งเป้าไปที่ AI Agents นอกเหนือจากมนุษย์
การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มเข้ามาแทรกซึมในวงการช็อปปิ้งออนไลน์แล้ว ตัวอย่างเช่น ระบบ Sparky Assistant ของ Walmart สามารถเปรียบเทียบสินค้า, กรองรีวิว, และจัดทำตะกร้าสินค้าให้ลูกค้าได้เองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ และแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่าง Instacart, Amazon, Shopify, และ Expedia ก็ใช้ระบบผู้ช่วย AI ที่คล้ายกันเช่นกัน
ดังนั้น การตลาดจึงไม่ใช่แค่การโน้มน้าวผู้คนอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงการโน้มน้าว Agent อัจฉริยะ ที่เป็นตัวแทนของผู้ซื้อด้วย Agent เหล่านี้จะคัดเลือกเฉพาะผู้ให้บริการที่มีผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริง ,มีชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือ, มีราคาที่ชัดเจน และข้อเสนอที่ระบบสามารถประมวลผลได้
ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ AI Agent จึงกลายเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับทุกแบรนด์ เหมือนกับที่การทำ SEO ที่เคยเปลี่ยนโฉมวงการตลาดเมื่อ 20 ปีก่อน
4. การยืนยันตัวตน AI Agent ด้วยบล็อกเชนจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น
AI Agent กำลังกลายเป็นเรื่องปกติในโลกธุรกิจ โดยบริษัทต่าง ๆ กำลังปล่อย Agent อัตโนมัติที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลสำคัญ, เริ่มต้นการกระทำ, และแม้กระทั่ง จ่ายเงิน ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น ภายในปี 2026 การยืนยันตัวตนสำหรับ Agent เหล่านี้ จะไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น ความจำเป็นในการดำเนินงาน
ตัวอย่างแรก ๆ ของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ แพลตฟอร์มอย่าง UtopIQ ที่แนะนำสิ่งที่เรียกว่า AI Agent Dashboard ซึ่งใช้ยืนยันตัวตนแบบไดนามิก และมีการบันทึกการตรวจสอบ ที่ได้รับการสนับสนุนด้วยบล็อกเชน
องค์กรต่าง ๆ ก็กำลังก้าวไปในทิศทางนี้ โดยมีการกำหนด ตัวตน, กระเป๋าเงิน, บทบาท, สิทธิ์, ประวัติการตรวจสอบ, และ การตรวจสอบประสิทธิภาพ ให้กับ Agent เหล่านี้ โดยปฏิบัติกับพวกมันเหมือนเป็น พนักงานดิจิทัล คนหนึ่ง มากกว่าการเป็นแค่เครื่องมือ
5. จริยธรรม AI พัฒนาจากทฤษฎี สู่การพิสูจน์
ภายในปี 2026 หน่วยงานกำกับดูแล จะกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ต้องมี ความสามารถในการอธิบายและการตรวจสอบที่มา ของการตัดสินใจที่ทำโดย AI ในประเด็นสำคัญ เช่น การจ้างงาน, การให้กู้, การดูแลสุขภาพ, และการประเมินความเสี่ยง
นอกจากนี้ บริษัทประกัน จะเริ่มเปลี่ยนไปใช้โมเดลความรับผิดชอบแบบใหม่สำหรับองค์กรที่ใช้ AI อย่างเข้มข้น โดยกำหนดให้บริษัทเหล่านี้ ต้องแสดงหลักฐานให้เห็นว่าโมเดล AI ของตนเอง ไม่เพียงแต่ทำงานได้ดีเท่านั้น แต่ยังต้องทำงานอย่างมีความรับผิดชอบ ด้วย
ด้วยเหตุนี้ คะแนนประสิทธิภาพทางจริยธรรมจึงจะถูกนำมาใช้เป็นวิธีการวัดความโปร่งใส, ความยุติธรรม, และความปลอดภัยของ AI ทำให้ จริยธรรม AI กลายเป็นข้อกำหนดที่ต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง
6. หุ่นยนต์เฉพาะทางจะเป็นผู้นำตลาด และ ‘การทำอาหาร’ จะเป็นหมวดหมู่ที่มาแรง
ภายในปี 2026 เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านคือปัจจัยสู่ความสำเร็จ โดยหุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจเฉพาะเจาะจง เช่น หุ่นยนต์คลังสินค้า, หุ่นยนต์ผ่าตัด, และ AI Agent เฉพาะด้านจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะหุ่นยนต์เหล่านี้ให้ ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจน, ประหยัดค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ได้, และมอบคุณค่าในทันที โดยเฉพาะในกลุ่มหุ่นยนต์เฉพาะทางด้านการทำอาหาร จะเป็นหมวดหมู่ที่โดดเด่นที่สุดในบ้านเรือน
หุ่นยนต์ทำอาหารกำลังเริ่มเข้ามาช่วยเตรียมอาหารสดใหม่ในราคาที่เข้าถึงได้ ตัวอย่างเช่น Posha ที่ให้คุณเลือกสูตรอาหารนับพันรายการ ใส่ส่วนผสมและเครื่องเทศสด แล้วมันจะทำอาหารทั้งมื้อให้คุณ
Robert Scoble นักอนาคตศาสตร์ กล่าวว่า “เรากำลังเข้าใจผิดเรื่องหุ่นยนต์ เราหมกมุ่นกับหุ่นยนต์รูปคน ทั้งที่การปฏิวัติที่แท้จริงเริ่มต้นที่มื้อเย็น” เนื่องจากปัญหาเรื่องการทำอาหารนั้น เกี่ยวข้องกับเวลา, ต้นทุน, โภชนาการ, และความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว ดังนั้น หุ่นยนต์ในบ้านตัวแรกที่สำคัญจริง ๆ จึงไม่ใช่หุ่นยนต์รูปคนสารพัดประโยชน์ แต่เป็นระบบเฉพาะทางที่เข้ามาแก้ปัญหาความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
7. หุ่นยนต์ที่ขายในคริสต์มาสปีนี้ จะถูกเปิดโปงเรื่องการเก็บข้อมูลเด็กในทางที่ผิด
มีความกังวลเพิ่มขึ้นว่า ของเล่นอัจฉริยะและหุ่นยนต์ในบ้าน ที่กำลังขายในช่วงวันหยุดนี้ กำลังทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเสียง, วิดีโอ, และพฤติกรรมของเด็ก ๆ เนื่องจากหุ่นยนต์ในบ้านยังไม่มีกฎหมายมาควบคุมอย่างชัดเจน จึงมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2026 เราจะได้เห็นเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ครั้งแรก เกี่ยวกับการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด หุ่นยนต์สำหรับเด็ก อาจถูกเปิดโปงว่าได้ทำการเก็บหรือแบ่งปันข้อมูลที่ละเอียดอ่อนโดยไม่ได้รับความยินยอมที่เหมาะสม เหตุการณ์นี้จะกลายเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ซึ่งจะผลักดันให้หน่วยงานกำกับดูแล, ผู้ปกครอง, และนักพัฒนาต้องหันมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวอย่างจริงจังเสียที
8. โปรโตคอล Agent ต่อ Agent (A2A) จะกลายเป็นภาษากลางสำหรับหุ่นยนต์และ Agent
บริษัทที่พัฒนาด้าน AI และหุ่นยนต์ กำลังเริ่มต้นพัฒนาโครงสร้างการสื่อสารพื้นฐานที่จะช่วยให้ Agent และเครื่องจักร สามารถประสานงานกันได้เอง และคาดว่า ภายในปี 2026 สิ่งนี้จะพัฒนาไปสู่ โปรโตคอล Agent-to-Agent ที่สมบูรณ์และแพร่หลายมากขึ้น โดยหุ่นยนต์, ผู้ช่วยดิจิทัล, ระบบองค์กร, และเครื่องมืออัตโนมัติต่าง ๆ จะสามารถ เจรจาขอบเขตความรับผิดชอบและความปลอดภัย ระหว่างกันได้แบบเรียลไทม์
โปรโตคอล A2A จะกลายเป็นโครงสร้างการสื่อสารหลัก สำหรับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติทั้งหมด คล้ายกับที่โปรโตคอล HTTP เคยสร้างมาตรฐานและรวมอินเทอร์เน็ตในยุคแรกเข้าไว้ด้วยกัน
9. โมเดลธุรกิจ จะพลิกกลับ เนื่องจาก AI Agent
โมเดลธุรกิจซอฟต์แวร์แบบ SaaS (Software as a Service) ที่เก็บเงินตามจำนวนที่นั่ง (ต่อผู้ใช้งาน) กำลังจะล่มสลาย เพราะ AI Agent สามารถทำงานทั้งหมดของทีมได้ด้วยตัวมันเอง บริษัทต่าง ๆ จึงจะเปลี่ยนไปจ่ายเงินตาม การกระทำของ Agent, ผลลัพธ์ที่ได้, และ เวิร์กโฟลว์ที่ต่อเนื่อง แทนที่จะจ่ายเงินเพื่อใช้ฟีเจอร์ในแอปพลิเคชันแบบเดิม ๆ
ผู้ชนะในโลกธุรกิจแห่งอนาคตคือ บริษัทที่สามารถสร้าง ระบบนิเวศของ Agent ได้สำเร็จ ส่วนผู้แพ้จะยังคงยึดติดอยู่กับการปกป้องโมเดลที่อิงกับแอปพลิเคชันแบบเก่าซึ่งจะกลายเป็นของโบราณไป
คำถามสำคัญที่ CEO ทุกคนต้องตอบในปี 2026 คือ งานใดที่ควรเป็นความรับผิดชอบของมนุษย์? งานใดที่ควรเป็นของ Agent? และ งานใดที่ควรทำร่วมกัน?
10. Web3 จะกลายมาเป็นกระแสหลัก
ภายในปี 2026 เทคโนโลยี Web3 จะถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย จนถึงขั้นที่ ไม่มีใครพูดถึงมันอย่างจริงจังอีกต่อไป เนื่องจากมันถูกรวมเข้ากับชีวิตประจำวันไปแล้ว ตัวอย่างเช่น Pudgy Penguins (โปรเจกต์ NFT) จะเข้าถึงผู้คนนับล้านผ่าน Walmart, แพลตฟอร์มทำนายราคาอย่าง Polymarket จะมีอิทธิพลต่อการสนทนาสาธารณะ, และเครือข่ายบล็อกเชนอย่าง Base และ TON จะเข้ามาขับเคลื่อนแอปพลิเคชันของผู้บริโภคให้ใช้งานได้อย่างราบรื่น
ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะใช้งาน และมีส่วนร่วมกับ Web3 โดยที่พวกเขา ไม่เคยได้ยินหรือรู้จักคำว่า Web3 เลยด้วยซ้ำ เพราะบล็อกเชนจะเปลี่ยนสถานะ จากที่เป็น “เรื่องเล่า” มาเป็น “เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง”
11. อวตาร AI กลายเป็นด่านหน้าของงานบริการลูกค้า
เมื่อ AI Agent ได้รับการออกแบบให้มีรูปลักษณ์หรือร่างกายที่จดจำได้ (อวตาร) ผลลัพธ์ที่ทรงพลังจะเกิดขึ้น เพราะผู้คนจะสามารถเชื่อมต่อและสร้างความไว้วางใจ กับ AI ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น อวตาร ที่ถูกออกแบบมาอย่างดีจึงจะกลายเป็น สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ของแบรนด์
Astrid Pilla CEO ของ Meta Fashion House คาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 บริษัทส่วนใหญ่จะเริ่มวางรากฐานสำหรับ AI Agent และในปี 2027 แบรนด์ต่าง ๆ จะไม่ใช้เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียเป็นจุดนำอีกต่อไป แต่จะใช้ Agent ของพวกเขาเอง ที่มาในรูปแบบ อวตารที่มองเห็นได้ และเน้นปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ซึ่งถือเป็น แนวหน้าใหม่ของประสบการณ์ลูกค้า
12. คนสมัครงานที่ไม่ใช้ AI โอกาสโดนปัดตกได้งานสูงมาก
ผู้จัดหางานในบริษัทขนาดใหญ่เริ่มสังเกตเห็นว่า ผู้สมัครงานจำนวนมากใช้เครื่องมือ AI เข้ามาช่วยในการเตรียมตัว เช่น การวิเคราะห์คำบรรยายลักษณะงาน หรือการจัดโครงสร้างคำตอบสำหรับการสัมภาษณ์
ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเหล่านี้ แสดงความเห็นว่า หากผู้สมัครไม่ใช้ AI เข้ามาช่วยในการเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ นั่นก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เขาอาจจะไม่นำ AI มาใช้ในการทำงานจริงเช่นกัน
ดังนั้น ความรู้ความสามารถในการใช้ AI จึงได้กลายเป็น ความคาดหวังพื้นฐาน ที่ต้องมี และการ ไม่ใช้ AI จึงกลายเป็น ข้อเสียเปรียบ ที่สำคัญ คล้ายกับการขาดทักษะการใช้คอมพิวเตอร์พื้นฐานในช่วงต้นยุคปี 2000
13. การมีผู้หญิงที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอยู่ในคณะกรรมการบริษัท อาจช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จได้ดีขึ้นในยุค AI
แม้ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก แต่ปัจจุบันมีบริษัทเพียง 17% เท่านั้น ที่มีการกำกับดูแลเรื่อง AI อย่างจริงจังในระดับคณะกรรมการบริษัท (อ้างอิงจากรายงานของ McKinsey) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากดัชนี Nasdaq Women Leaders Index ชี้ให้เห็นว่าบริษัทที่มี คณะกรรมการที่มีความหลากหลายทางเพศ มักจะประสบความสำเร็จมากกว่า ทั้งในแง่ของมูลค่าระยะยาว, คุณภาพการกำกับดูแล, และนวัตกรรม เนื่องจาก ผู้หญิงในสายงานเทคโนโลยี มักจะนำเสนอแนวคิดที่เน้น จริยธรรม, ความเห็นอกเห็นใจ, และมี มุมมองแบบองค์รวมในการประเมินความเสี่ยง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับความท้าทายที่มาพร้อมกับยุคของระบบอัตโนมัติและการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล
14. ปี 2026 คือ “ยุคแห่งการหลอมรวม” ไม่ใช่ยุค AI อย่างเดียว
สิ่งที่ทำให้ปี 2026 เป็นปีที่แตกต่างอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่แนวโน้มเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการ บรรจบกันของหลายปัจจัยพร้อมกัน
AI Agent จำเป็นต้องใช้ บล็อกเชน เพื่อสร้างความไว้วางใจและมีตัวตนที่ชัดเจน, หุ่นยนต์ ต้องมี โปรโตคอล A2A เพื่อประสานงานกับ Agent อื่น ๆ และมนุษย์, การตลาด ต้องเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับ AI Agent แทนที่จะเป็นแค่ผู้คน, Stablecoin จะกลายเป็นวิธีหลักในการชำระเงิน, โมเดลธุรกิจต้องพลิกจากการคิดค่าบริการแบบรายบุคคลไปเป็นแบบ จ่ายตามผลลัพธ์, และทั้งหมดนี้ต้องอาศัย กรอบการกำกับดูแล ที่เพิ่งมีขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเท่านั้น องค์กรที่จะเติบโตได้ดีคือ องค์กรที่มองเห็นการเชื่อมต่อเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และตัดสินใจลงมือทำอย่างรวดเร็ว เพราะในอนาคต เทคโนโลยีจะไม่ถูกแบ่งแยกตามประเภทอย่าง AI, บล็อกเชน หรือ Quantum อีกต่อไป ซึ่งปี 2026 ก็จะเป็นเช่นนั้น
- ที่มา : forbes
- ที่มาภาพ : northeastern

