ในช่วงที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังสั่นไหวเหมือนเรือกลางพายุ ตัวเลขการจ้างงานเอกชนประจำเดือนพฤศจิกายนกลับลดลงแบบไม่คาดคิด แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ในขณะที่หลายอุตสาหกรรมชะลอตัว โลกคริปโตกลับ สวนกระแสแบบสุดทางด้วยการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลายคนจึงเริ่มตั้งคำถามว่า หากสหรัฐฯ ออกกฎหมายชัดเจนและเป็นมิตรกับอุตสาหกรรมดิจิทัลตั้งแต่แรก งานสายนี้อาจไม่ถูกดูดออกไปต่างประเทศเหมือนทุกวันนี้หรือไม่?
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังแสดงสัญญาณอ่อนตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จากแรงกดดันรอบด้าน ทั้งภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น, ต้นทุนธุรกิจที่เพิ่มต่อเนื่อง และการที่บริษัทต่าง ๆ หันมาใช้ AI แทนแรงงานมากขึ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผยว่า การจ้างงานภาคเอกชนลดลงถึง 32,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง โดยเฉพาะธุรกิจรายเล็กที่ถูกบีบจนต้องปลดพนักงานรวมกันกว่า 120,000 ตำแหน่ง สาเหตุมาจากต้นทุนภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า เหตุการณ์นี้ยังไม่ถึงขั้นเรียกว่า วิกฤต แต่ก็ยอมรับว่า สัญญาณอ่อนแอเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดย Heather Long จาก Navy Federal แสดงความเห็นว่า
“นี่ไม่ใช่แค่ตลาดแรงงานที่จ้างงานน้อยลง แต่ตอนนี้มันกำลังกลายเป็นตลาดที่เริ่มไล่คนออกต่างหาก”
ในทางกลับกัน งานสายคริปโตกลับพุ่งขึ้นสวนทางอย่างน่าสนใจ รายงานจาก Gate Research Institute ระบุว่าในปี 2025 ตำแหน่งงานคริปโตเติบโตถึง 47% มีงานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 66,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้จำนวนคนทำงานในอุตสาหกรรมนี้ทั่วโลก แตะ 1.6 ล้านคน แล้ว แถมเงินเดือนเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้น 18% โดยงานสายเทคนิคยังครองสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
อุตสาหกรรมที่โตแรงที่สุดก็หนีไม่พ้น DeFi, โครงสร้างพื้นฐาน Layer 1/2, การโทเคไนซ์สินทรัพย์จริง (RWA), โปรเจกต์ AI + Crypto, กระดานเทรด รวมถึงโปรโตคอลขนาดใหญ่ต่าง ๆ ที่กำลังเร่งขยายทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือที่ค่าตอบแทนสูงลิบถึง $120,000–$250,000 ต่อปี (ราว 4–9 ล้านบาท) และยิ่งไปกว่านั้น งานสายคริปโตส่วนใหญ่ยังสามารถทำงานแบบ Remote ได้อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้บริษัทสามารถดึงคนเก่งจากทั่วโลกได้ง่ายยิ่งขึ้น
หลายประเทศก็เริ่มใช้ “กฎหมายคริปโตที่ชัดเจน” เป็นเครื่องมือดึงดูดบริษัท และบุคลากรเก่งๆ เช่น สิงคโปร์, ฮ่องกง, หรือสหภาพยุโรปที่เดินหน้าเต็มตัวด้วยกฎหมาย MiCA
ขณะที่สหรัฐฯ เองก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการออกกฎหมาย Stablecoin อย่าง GENIUS Act ที่ถูกมองว่า อาจเป็นจุดเริ่มต้นของโครงสร้างอุตสาหกรรมที่ชัดเจนขึ้นในอนาคต
หากกฎหมายในสหรัฐฯ เดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม บริษัทก็จะสามารถตั้งทีมวิศวกรในประเทศได้มากขึ้น เกิดงานสาย Compliance/Risk เพิ่มขึ้น ศูนย์ปฏิบัติการอาจกลับมาตั้งในสหรัฐฯ และไม่จำเป็นต้องย้ายหนีความไม่แน่นอนอีกต่อไป แต่หากกฎหมายยังคลุมเครือเหมือนที่ผ่านมา ผลที่ตามมาคือ คนเก่งจะย้ายออก, บริษัทจะไปตั้งทีมต่างประเทศ และงานรวมถึงเงินลงทุนจะไหลไปยังภูมิภาค APAC และ LATAM ซึ่งตอนนี้มีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานคริปโตสูงถึง 69% และ 63% ตามลำดับ
ที่มา : thestreet

