Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Invest เชื่อว่า Bitcoin กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับวงจรการ Halving แบบเดิมอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางราคา Bitcoin มานานกว่า 10 ปี
เนื่องจากปัจจุบันมี เงินทุนจากสถาบันไหลเข้ามามากขึ้น และสภาพคล่องในตลาดก็มีมากขึ้น โดยนักลงทุนสถาบันกำลังเข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างของตลาดโดยสิ้นเชิง
Cathie Wood ได้ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business ระบุว่า ในอดีตราคา Bitcoin เคยร่วงลงอย่างรุนแรงในระดับ 75% -90% แต่เชื่อว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นน้อยลงเรื่อย ๆ
Cathie Wood กล่าวว่า “ความผันผวนของราคา Bitcoin กำลังลดลง… และนักลงทุนสถาบันจะช่วยหยุดไม่ให้ราคา Bitcoin ร่วงลงมากเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ ราคา Bitcoin ได้ทำจุดต่ำสุดไปแล้ว เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา”
ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา Bitcoin มักจะเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักรตามเหตุการณ์ Halving (การลดรางวัลการขุดลงทุก ๆ 4 ปี) ซึ่งเคยกระตุ้นให้เกิดการ “ขาดแคลนอุปทาน” และผลักดันราคา Bitcoin ให้พุ่งสูงขึ้นหลังเหตุการณ์จบลง
แต่ Cathie Wood มองว่า ตอนนี้พฤติกรรมราคาได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Bitcoin เริ่มเคลื่อนไหวเหมือน สินทรัพย์เสี่ยง (Risk-on Asset) มากขึ้น คือมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ มากกว่าที่จะเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
Cathie Wood กล่าวว่า “ตอนนี้ทองคำเป็นตัวแทนของสินทรัพย์แบบป้องกันความเสี่ยงมากกว่า ส่วน Bitcoin เคลื่อนไหวเหมือนสินทรัพย์เสี่ยง”
ทั้งนี้ Ark Invest ก็ยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเข้าซื้อหุ้น Coinbase, Circle และกองทุน ETF อย่าง ARKB เพิ่มเติม
ความเห็นของ Cathie Wood สอดคล้องกับนักวิเคราะห์หลายคนที่มองว่า ตลาด Bitcoin ไม่ได้ตอบสนองต่อ Halving เหมือนในอดีตอีกแล้ว
โดย Standard Chartered เพิ่งลดเป้าราคา Bitcoin ในปี 2025 ลงจาก $200,000 เหลือ $100,000 โดยชี้ว่า แรงซื้อจากกองทุน ETF ทำให้ Halving มีอิทธิพลลดลง
ส่วนผู้เชี่ยวชาญอย่าง Matt Hougan จาก Bitwise และ Ki Young Ju จาก CryptoQuant ก็ประกาศตรง ๆ ว่า ” Cycle 4 ปี ตายแล้ว”
ในอดีต ราคา Bitcoin มักจะเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักรแบบเดิม (สะสม – พุ่งแรงหลัง Halving – ทำจุดสูงสุด – ตลาดหมี) แต่รอบนี้ หลังจากขึ้นไปแตะ $122,000 ในเดือนกรกฎาคม พฤติกรรมราคากลับนิ่งขึ้นและไม่พุ่งแรงเหมือนเดิม
ในอดีตที่ผ่านมา ราคา Bitcoin มักจะเคลื่อนไหวตามวงจรที่คาดเดาได้ คือ มีการสะสมเหรียญ จากนั้นราคา Bitcoin จะพุ่งขึ้นแรง หลังเกิด Halving ก่อนราคา Bitcoin จะทำ ATH ใหม่ แล้วเข้าสู่ช่วงตลาดขาลง

ที่มา: Bitbo
แต่ในรอบนี้ หลังจากราคา Bitcoin พุ่งไปแตะ $122,000 ดอลลาร์ เมื่อเดือนกรกฎาคม พฤติกรรมของราคา Bitcoin กลับนิ่งขึ้น และ ไม่พุ่งแรงอย่างบ้าคลั่ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอีกต่อไป
Patrick Heusser จาก Sentora ชี้ว่า โมเดล Bitcoin Power Law ซึ่งอิงกับ “ความสัมพันธ์ระยะยาวตามเวลา” อาจเป็นตัวสะท้อนภาพการเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin ในปัจจุบันได้ดีกว่าวัฏจักร 4 ปีแบบตายตัว โดยให้เหตุผลว่า การลดรางวัลการขุดเหลือเพียงวันละ 450 BTC นั้น มีผลกระทบต่อราคาน้อยมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมที่สูงระดับล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
ดังนั้น แรงขับเคลื่อนใหม่ ของตลาด จึงมาจาก สถาบันขนาดใหญ่ (เช่น กองทุน ETF และบริษัทจดทะเบียน ซึ่งผู้เล่นกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะ ถือครอง Bitcoin ในระยะยาวและไม่ขายง่าย ทำให้เกิดผลลัพธ์คือ ความผันผวนของราคา Bitcoin ลดลง
ที่มา : cryptonews

