เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นในสหราชอาณาจักร (UK) รายงานว่า ตำรวจสเปนพบศพชายถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในป่าใกล้เมืองมิฮาส (Mijas) สภาพศพบ่งชี้ว่า ถูกทรมานเป็นเวลานาน โดยชายคนดังกล่าวถูกยิงที่ขาระหว่างพยายามหลบหนี ก่อนถูกทำร้ายซ้ำจนเสียชีวิต ขณะที่แฟนสาวซึ่งถูกลักพาตัวไปพร้อมกันได้รับการปล่อยตัวในช่วงกลางดึก และรีบเข้าแจ้งความทันที
ผลการสอบสวนเปิดเผยว่า คนร้ายเป็นแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 5 รายในสเปน และขยายผลไปจนถึงเดนมาร์กอีก 4 ราย โดยพบรูปแบบการทำงานที่โหดเหี้ยม เหยื่อถูกกักขังหลายชั่วโมงเพื่อบังคับให้เปิดเผย Private Key หรือให้สแกนใบหน้าเพื่อโอนคริปโต ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า เป็นเหตุผลที่ทำให้อาชญากรรมกลุ่มนี้ มีความรุนแรงกว่าการปล้นเงินสดทั่วไป เพราะต้องรีดข้อมูลจากเหยื่ออย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ในสเปนได้สะท้อนเทรนด์อาชญากรรมที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกในปี 2024 ตามรายงานของ CBS News การอุ้มเพื่อรีดไถ่คริปโตเพิ่มขึ้นควบคู่กับราคาตลาดที่พุ่งสูง
ในฝรั่งเศส เกิดเหตุการณ์รุนแรงหลายครั้ง ตั้งแต่กรณี David Balland ผู้ร่วมก่อตั้ง Ledger ถูกอุ้มกลางกรุงปารีส และถูกตัดนิ้วเรียกค่าไถ่ ไปจนถึงการลักพาตัวพ่อของเศรษฐีคริปโตที่ถูกเรียกค่าไถ่ถึง 5 ล้านยูโร รวมถึงความพยายามจับตัวลูกหลานผู้บริหารบริษัทคริปโตชื่อดัง ขณะที่ในแคนาดาและสหรัฐฯ ก็มีคดีครอบครัวถูกทรมานกว่า 13 ชั่วโมง สูญเงินไป 1.6 ล้านดอลลาร์ และนักลงทุนในนิวยอร์กถูกกักขังหลายสัปดาห์ก่อนหนีรอดออกมาได้
ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้น ผู้ต้องหาชาวเดนมาร์ก 2 รายในคดีที่ประเทศสเปนล่าสุด มีประวัติเคยถูกจำคุกในคดีลักษณะเดียวกันมาก่อน สะท้อนว่ามี “ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมคริปโต” กำลังก่อเหตุมากขึ้นเรื่อยๆ และเหยื่อไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้บริหาร หรือเจ้าของโปรเจกต์อีกต่อไป แต่ยังรวมถึงผู้ลงทุนทั่วไปที่โชว์พอร์ตบนโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่ญาติของอินฟลูเอนเซอร์
ทั้งหมดนี้คือสัญญาณเตือนชัดเจนว่า ยิ่งราคา Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลสูงขึ้น ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในชีวิตจริงก็ยิ่งสูงขึ้นตาม นักลงทุนยุคใหม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวเอง หรือหาทางป้องกันตัวเอง ก่อนที่อาชญากรรมรูปแบบนี้จะลุกลามหนักกว่านี้อีกในอนาคต

