<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ลือสะพัด! ทรัมป์สั่งปิดล้อมน้ำมันเวเนฯ สะเทือนคริปโทฯ หวั่นเงินเฟ้อพุ่งกดดันเฟด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

(17 ธ.ค. 2025) – เกิดกระแสข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วตลาดพลังงานและการเงินโลก หลังจากที่บัญชี X แนววิเคราะห์การเงินชื่อดัง “The Kobeissi Letter” ได้เผยแพร่ภาพข้อความที่อ้างว่าเป็นแถลงการณ์จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุถึงคำสั่งให้ทำการ “ปิดล้อมทางทะเลโดยสมบูรณ์” (Complete Blockade) ต่อเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรทั้งหมดที่เดินทางเข้าและออกจากประเทศเวเนซุเอลา เพื่อตอบโต้การกระทำของระบอบการปกครองนิโคลัส มาดูโร

แม้ว่าจนถึงขณะนี้ (09:30 น. ตามเวลาประเทศไทย) จะยังไม่มีสำนักข่าวหลักระดับโลกแห่งใดรายงานยืนยันถึงคำสั่งดังกล่าวอย่างเป็นทางการ แต่กระแสข่าวนี้นักวิเคราะห์ในตลาดพลังงานประเมินว่า หากการปิดล้อมเกิดขึ้นจริง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานน้ำมันโลกที่ตึงตัวอยู่แล้ว และอาจเป็นชนวนเหตุให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นได้ถึง 5-10% ในทันที

สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับนี้ กำลังส่งแรงกระเพื่อมที่น่ากังวลมายังตลาดคริปโทเคอร์เรนซี เนื่องจากตามธรรมชาติของตลาดการเงิน เมื่อเกิดวิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศขนาดใหญ่ นักลงทุนทั่วโลกมักจะเข้าสู่ภาวะ “หนีความเสี่ยง” (Risk-Off) โดยมีแนวโน้มที่จะเทขายสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่าง Bitcoin และ Altcoins ออกมา เพื่อโยกเม็ดเงินไปพักในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะสั้น

นอกจากปัจจัยด้านจิตวิทยาการลงทุนแล้ว ผลกระทบลูกโซ่ทางเศรษฐกิจมหภาคยังเป็นสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าสำหรับตลาดคริปโทฯ หากราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักพุ่งสูงขึ้น จะกลายเป็นตัวเร่งสำคัญให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ กลับมาดีดตัวขึ้นอีกครั้ง สถานการณ์นี้อาจบีบบังคับให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงยาวนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ

สภาพแวดล้อมที่ดอกเบี้ยทรงตัวในระดับสูงถือเป็นปัจจัยลบสำคัญที่คอยดูดซับสภาพคล่องออกจากตลาดสินทรัพย์เสี่ยง อีกทั้งในยามวิกฤต ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) มักจะแข็งค่าขึ้นในฐานะหลุมหลบภัยทางการเงิน ซึ่งตามสถิติในอดีต ราคา Bitcoin มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์เสมอ ทำให้นักลงทุนคริปโทฯ ต้องจับตาความชัดเจนของข่าวดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทิศทางตลาดในช่วงท้ายปีนี้

ที่มา: @KobeissiLetter