<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

รอยร้าวในโลก DeFi: สรุปชนวนเหตุ “สงครามกลางเมือง Aave” เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัวระหว่าง Labs และ DAO

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

วงการ DeFi  กำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ เมื่อเครือข่ายระดับโลกอย่าง Aave กำลังตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งภายในที่บานปลายจนถูกเรียกขานว่า “สงครามกลางเมือง” หลังเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างฝั่งผู้พัฒนาและชุมชนผู้ถือเหรียญเรื่องการจัดสรรรายได้มหาศาล

ชนวนเหตุเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา เมื่อ Aave Labs (บริษัทผู้พัฒนา) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ CoWSwap เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์บนแพลตฟอร์ม ซึ่งในตอนแรกดูเหมือนจะเป็นการอัปเกรดเพื่อผู้ใช้งานตามปกติ

ทว่าในวันที่ 11 ธันวาคม สถานการณ์ความตึงเครียดก็เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อนักวิเคราะห์ DeFi_EzR3aL ได้ออกมาแฉข้อมูลชุดใหญ่ว่า ค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการ Swap ผ่านระบบใหม่ของ CoWSwap นั้นไม่ได้ถูกส่งเข้าสู่ Aave DAO (คลังส่วนกลางที่ชุมชนดูแล) แต่กลับถูกโอนตรงไปยังกระเป๋าเงินส่วนตัวที่ควบคุมโดย Aave Labs พูดง่ายๆ คือรายได้ที่ควรจะเป็นของส่วนรวมกลับถูก “ตัดตอน” เข้าบริษัทโดยตรง

ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม เมื่อ Marc Zeller บุคคลสำคัญของเครือข่าย ออกมาร่วมผสมโรงว่าการกระทำนี้เปรียบเสมือน “Stealth Privatization” หรือการแอบแปรรูปรายได้ของชุมชนไปเป็นของบริษัทแบบลับๆ โดยมีการคาดการณ์ว่ามีเม็ดเงินมูลค่ากว่า 10 ล้านดอลลาร์ ที่ควรจะเป็นของ DAO ถูกโยกย้ายออกไป

สถานการณ์มาถึงจุดแตกหักในวันที่ 16 ธันวาคม เมื่อฝั่งชุมชนที่นำโดย Tulip King ได้ยื่นข้อเสนอสุดโต่งที่เรียกกันว่า “Poison Pill” (ยาพิษ) เพื่อเป็นการตอบโต้ Aave Labs อย่างรุนแรง โดยมีข้อเรียกร้องหลัก 3 ประการ คือ:

  • ขอเข้าทำการยึดครอง IP ของ aave , โค้ด , และสิทธิ์ในแบรนด์ Aave ทั้งหมดให้กลับมาเป็นของ DAO
  • บังคับให้ Aave Labs เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทในเครือภายใต้การกำกับดูแลของ DAO อย่างเบ็ดเสร็จ
  • เรียกคืนรายได้ทั้งหมดในอดีตที่เกิดขึ้นจากการใช้ชื่อแบรนด์ Aave กลับคืนสู่คลังกลาง

ความขัดแย้งภายในอาณาจักร Aave ทวีความรุนแรงขึ้นอีกระลอก เมื่อเกิดข้อเสนอที่ 2 ในชื่อ “Brand Seizure” (การยึดครองแบรนด์) ซึ่งยื่นโดย Eboadom อดีต CTO ของ Aave Labs โดยระบุแก่นสำคัญว่า ในเมื่อ Aave DAO เป็นผู้แบกรับค่าใช้จ่ายด้านการพัฒนาและการตลาด สิทธิ์ในการครอบครองเครื่องหมายการค้า ชื่อโดเมน และบัญชีโซเชียลมีเดียทั้งหมดควรเป็นของชุมชน (DAO) โดยชอบธรรม

ทางฝั่ง Aave Labs ไม่นิ่งเฉย พร้อมออกโรงตอบโต้ในเชิงโครงสร้างธุรกิจว่า ระบบ CoWSwap ไม่เคยถูกตั้งค่าให้เป็นการแบ่งรายได้ค่าธรรมเนียมมาแต่แรก และรายได้ที่เกิดขึ้นจากหน้าเว็บไซต์นั้นถือเป็นส่วนเกินที่ทาง Labs มอบให้ DAO ด้วยความสมัครใจ พร้อมย้ำจุดยืนว่า:

  • DAO เป็นเพียงเจ้าของ Smart Contracts ไม่ใช่ตัวเว็บไซต์
  • Aave Labs คือบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ และเป็นผู้แบกรับค่าใช้จ่ายตั้งแต่ค่าโฮสติ้ง ระบบความปลอดภัย ไปจนถึงเงินเดือนวิศวกร

แต่แล้วท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้จู่ๆ Aave Labs ชิงตัดหน้าทำ Snapshot Vote โดยอ้างอิงข้อเสนอของ Eboadom เพื่อมอบอำนาจให้ DAO ควบคุมสินทรัพย์แบรนด์และ GitHub ทั้งหมด ทว่าเรื่องนี้กลับถูก Eboadom ออกมาประณามว่าเป็นการนำชื่อของเขาไปแอบอ้างเพื่อเร่งรัดการโหวตในขณะที่การอภิปรายยังไม่สิ้นสุด

ขณะเดียวกัน Marc Zeller ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการเร่งรัดโหวตในช่วงวันหยุด และการผ่องถ่ายสิทธิ์ลงคะแนนให้กลุ่มนอมินีใหม่ๆ คือ ความพยายามในการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ จนนำไปสู่คำถามสำคัญที่สั่นคลอนหัวใจของ DeFi ว่า “ใครกันแน่คือเจ้าของโปรโตคอลที่แท้จริง?”

อย่างไรก็ดีชาวเน็ตได้มองว่าเหตุการณ์นี้สามารถมีตอนจบมากถึง 4 รูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนจะชนะ

A – ชัยชนะของ DAO: ข้อเสนอผ่าน สิทธิ์แบรนด์เป็นของชุมชน แต่มีความเป็นไปได้ต่ำและอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ

B – การแตกหัก : ข้อเสนอถูกปัดตก Labs ครองแบรนด์ต่อ แต่อาจทำให้ชุมชนไม่พอใจจนแยกตัว (Fork) ออกไปสร้างโปรโตคอลใหม่ กลายเป็นความแตกแยกของฐานผู้ใช้งาน

C – ยืดเยื้อ (Status Quo): เลื่อนการตัดสินใจออกไป Labs ยังคงถือสิทธิ์แบรนด์และเก็บรายได้ต่อไป ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

D – การประนีประนอม: Labs ยอมแบ่งรายได้เพื่อยุติศึก แต่ฝั่ง DAO อาจยังคงยืนกรานที่จะครอบครองแบรนด์เพื่อความมั่นคงในระยะยาว

ท่ามกลางสงครามที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ราคาเหรียญ AAVE สะท้อนความกังวลของตลาดทันที โดยปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ $152.88 ปรับตัวลดลงกว่า 5.39% ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ที่มา : X