ธนาคารระดับโลกอย่าง Standard Chartered ได้ออกมาแสดงท่าทีเชื่อมั่นใน XRP อย่างมาก โดยคาดการณ์ว่า ราคา XRP อาจพุ่งสูงขึ้นกว่า 330% จนไปแตะระดับ 8 ดอลลาร์ ได้ภายในปี 2026
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ตลาดคริปโตจะเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก แต่ทางธนาคารมองว่า สัญญาณบวกหลายอย่างกำลังเริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการได้รับแรงหนุนจากความชัดเจนด้านกฎระเบียบในสหรัฐฯ และโอกาสที่กองทุน Spot XRP ETF จะได้รับการอนุมัติ ซึ่งจะดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลจากนักลงทุนสถาบันให้ไหลเข้ามา
นอกจากนี้ บทบาทของ XRP ในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชำระเงินข้ามพรมแดน และการทำ Tokenization ยังเป็นปัจจัยสำคัญ ที่อาจทำให้ XRP ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดในรอบใหม่นี้ได้อย่างแข็งแกร่ง
Geoffrey Kendrick หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัล ของ Standard Chartered ได้ออกมาตอกย้ำเป้าหมายของราคา XRP ที่ 8 ดอลลาร์ ภายในปี 2026
แม้ว่าในปัจจุบันราคา XRP จะยังดูซบเซา โดยราคาติดลบไปแล้วประมาณ 11% ตั้งแต่ต้นปี และยังอยู่ห่างจากจุดสูงสุดเดิม (ATH) เกือบ 50%
แต่ Kendrick มองว่า นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ เพราะหากราคา XRP สามารถพุ่งขึ้นไปถึงเป้าหมายจริง จะเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 330% จากราคาปัจจุบันเลยทีเดียว
Kendrick เน้นย้ำว่า การคาดการณ์นี้ไม่ใช่แค่การเก็งกำไรระยะสั้น แต่เป็นผลมาจากการที่ XRP กำลังหลุดพ้นจากปัญหาคดีความทางกฎหมายที่ยืดเยื้อมานาน ทำให้ XRP สามารถกลับมาขยายตัว และพิสูจน์ศักยภาพในฐานะระบบชำระเงินระดับโลกได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง
กระแสของกองทุน Spot XRP ETF กลายเป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้ธนาคารยักษ์ใหญ่หันมามอง XRP ในเชิงบวกมากขึ้น โดยหลังจากกองทุน XRP ETF ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าถล่มทลายกว่า 1.15 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 41,000 ล้านบาท) ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
นอกจากนี้ ความชัดเจนด้านกฎหมาย หลังจากที่ Ripple ชนะคดีกับ SEC ในประเด็นการซื้อขายผ่านตลาดรอง ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกความกังวล ทำให้นักลงทุนกลุ่มสถาบัน กองทุนยักษ์ใหญ่ และธนาคารต่าง ๆ เริ่มมีความมั่นใจ และกล้ากลับเข้ามาลงทุนใน XRP อย่างเต็มที่
ซึ่งข้อมูลบนเครือข่ายบล็อกเชนล่าสุด เผยให้เห็นสัญญาณที่น่าสนใจ โดยปริมาณเหรียญ XRP ที่ถูกถือครองอยู่บนกระดานเทรด (CEX) ลดฮวบลงเหลือเพียง 1.5 พันล้าน XRP ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบปี สัญญาณนี้สะท้อนชัดเจนว่า นักลงทุนกำลังตัดสินใจ “ย้ายเหรียญออกไปเก็บยาว” ในกระเป๋าส่วนตัว แทนการฝากไว้ เพื่อรอเทรดเก็งกำไรระยะสั้น
นอกจากนี้ ยังบ่งบอกถึงแรงซื้อจากกลุ่มสถาบันที่เข้ามาสะสมเหรียญอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงออกไปเก็บสำรองไว้ หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป จะทำให้เหรียญที่หมุนเวียนให้ซื้อขายในตลาดลดน้อยลง จนอาจเกิดสภาวะ Supply Squeeze หรือเหรียญขาดตลาด ซึ่งจะเป็นแรงส่งมหาศาลที่ดันราคา XRP ให้พุ่งขึ้นได้อย่างรุนแรง
สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ ศักยภาพในด้าน “การใช้งานจริง” (Utility) ของ Ripple ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วไปในหลายสิบประเทศทั่วโลก ปัจจุบันแพลตฟอร์มของ Ripple ได้เข้าไปเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ทั้งธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทโอนเงินข้ามประเทศ สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้น และมีต้นทุนที่ถูกลงกว่าระบบเดิมอย่างมาก
โดยในกระบวนการนี้ XRP จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการมอบสภาพคล่อง (Liquidity) เพื่อเชื่อมต่อสกุลเงินต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ยิ่งเครือข่ายนี้เติบโต และมีการใช้งานโอนเงินจริงมากขึ้นเท่าไหร่ ความต้องการใช้ XRP ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับโลกก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ช่วยรองรับการเติบโตของราคาในระยะยาว
ในขณะที่รายงาน ราคา XRP กำลังซื้อขายอยู่ที่ 1.86% ภายใน 24 ชั่วโมง อ้างอิงข้อมูลจาก coinmarketcap

ที่มา : coinpedia

