หลาย ๆ คนคงจะเริ่มรู้กันแล้วว่าโอกาสที่เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯและยุโรปจะกลับไปเป็นแบบปี 2007 นั้นเริ่มมีสูงขึ้นทุกที
ด้วยการที่โอกาสการเกิดเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนที่เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้มาถึง 35% แล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนทั่วไปจะเริ่มกังวลกัน แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโอกาสดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นนั้นมีถึง 1 ใน 3 แต่มันก็ยังคงมีเหตุผลที่ทำให้เราไม่ควรตื่นตระหนกไปนัก โดยเฉพาะกับคนที่ถือ cryptocurrency
สัญญาณบ่งบอกที่คละกันไป
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลาย ๆ คนกลัวว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นนั้นเป็นเพราะการคาดการณ์อัตราการเติบโตทั่วโลกของ IMF โดยเฉพาะในปีนี้ที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกนั้นจะเติบโตขึ้นเพียงแค่ 3.2% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดหากนับตั้งแต่ปี 2009
นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯและจีนที่กำลังร้อนระอุอยู่นี้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลาย ๆ คนต้องออกมาแสดงความกังวล โดยพวกเขาเชื่อว่าหากสงครามการค้ายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เศรษฐกิจโลกก็ยังไม่สามารถไปไหนได้ไกล แต่กระนั้นก็ยังมีข่าวดีมาให้เห็นบ้างเมื่อล่าสุดการพูดคุยระหว่างสองมหาอำนาจนั้นเริ่มที่จะมีทิศทางเป็นบวกมากขึ้น เมื่อประเทศจีนเริ่มตกลงให้สัมปทานแก่สหรัฐอเมริกาในขณะที่สหรัฐฯก็ระงับการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน
นอกจากนี้ปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรปนั้นก็กำลังร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง Brexit หรือการแยกตัวของอังกฤษออกมาจากสหภาพยุโรปได้ จนทำให้หลาย ๆ คนกังวลว่าความไม่แน่นอนของทั้งสองฝ่ายนี้ส่งผลทำให้ยังไม่มีใครกล้าลงทุน และจะต้องมาจับตาดูเหตุการณ์นี้อย่างใจจดจ่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ธนาคารกลางในหลาย ๆ ประเทศได้เริ่มออกมาเคลื่อนไหวเพื่อยับยั้งการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว โดยหนึ่งในนั้นก็คือการออกมาปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ถึงสองครั้งภายในปีเดียวกัน และคาดว่าน่าจะกระตุ้นให้ผู้คนออกมาใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อเดือนที่ผ่านมาธนาคารกลางแห่งยุโรป (ECB) ก็ได้ประกาศเปิดตัวโปรแกรมการซื้อพันธบัตร โดยวางแผนว่าจะนำเงิน 2 หมื่นล้านยูโรไปซื้อสินทรัพย์ในทุก ๆ เดือนอีกด้วย
ผู้คนที่ต้องการเอาตัวรอดมาซื้อคริปโต
แม้ว่าหลาย ๆ คนมักจะมองว่าตลาด cryptocurrency กับตลาดโลกนั้นมันแยกออกมาเป็นคนละตลาดกัน ทว่าจริง ๆ แล้วทั้งสองตลาดนี้มีความเกี่ยวข้องกันมากว่าที่หลาย ๆ คนคาดไว้
ท่ามกลางภาวะทึ่เศรษฐกิจโลกกำลังมีโอกาสเกิดการถดถอย นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าเศรษฐกิจของตลาด cryptocurrency นั้นจะได้รับผลพลอยได้จากปัญหาในข้างต้น เมื่อผู้คนเริ่มต้องมองหาตลาดลงทุนแห่งใหม่ที่มีความปลอดภัยมากกว่า
หากลองย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่ผ่านมา หุ้น FTSE 100 นั้นร่วงลงมาถึง 10% ทว่าตลาด cryptocurrency นั้นกลับโตสวนทางขึ้นถึง 20% ในเวลาเดียวกัน และราคา Bitcoin นั้นก็พุ่งจาก 9,500 ดอลลาร์ขึ้นไปสูงกว่า 12,000 ดอลลาร์
ด้วยการที่ตลาด cryptocurrency นั้นถูกมองว่าเป็นตลาดที่ตรงกันข้ามกับตลาดโลก ดังนั้นจึงอาจเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นอาจจะเป็นตัวผลักดันให้มูลค่าตลาดคริปโตนั้นเพิ่มสูงขึ้นไปได้อีก เหมือนกับในขณะนี้ในประเทศฮ่องกงที่ผู้คนกำลังประท้วงรัฐบาลอย่างไม่พอใจ มีการหันมาใช้เงินสดมากขึ้นเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว จนส่งผลทำให้ตู้ ATM ในหลาย ๆ แห่งไม่เหลือธนบัตรไว้จ่าย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้โวลุ่มการซื้อขาย Bitcoin ในฮ่องกงโดยเฉพาะบนเว็บ P2P พุ่งสูงขึ้นในฮ่องกง
ซึ่งเราก็ต้องรอดูกันต่อไป
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น