ในที่สุด Ethereum ก็พร้อมที่จะเปิดตัวการอัพเกรด Ethereum 2.0 ในช่วงปลายปีนี้แล้วและมันอาจมาพร้อมกับโมเดล proof-of-stake
ดังนั้นเป็นไปได้ว่าเครือข่าย Eth อาจจะละทิ้งอัลกอริทึ่ม proof-of-work แบบเก่าและทำให้นักขุด Ethereum มีตัวเลือกให้เลือกน้อยลง เนื่องจากอุปกรณ์ของพวกเขาจะเก่าล้าสมัยและอาจถูกบังคับให้ขุดเหรียญ altcoins ตัวอื่น ๆ แทน โดยในบทความนี้เราจะหาคำตอบกันว่า มันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หากการอัพเกรด Ethereum 2.0 มาถึง
GPU v. ASIC
ความเห็นพ้องของ Ethereum อยู่บนพื้นฐานอัลกอริทึ่ม PoW ซึ่งคล้ายกับ Bitcoin ( BTC ) ดังนั้นกระบวนการขุดของทั้งสองจึงแทบเหมือนกันทั้งหมด นักขุดจะใช้ทรัพยากรในการคำนวณเพื่อรับรางวัลสำหรับแต่ละบล็อกที่พวกเขาจัดการได้สมบูรณ์
อย่างไรก็ตามยังคงมีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกระบวนการเหล่านี้ ในขณะที่การขุด Bitcoin จำเป็นต้องพึ่งพาอุปกรณ์ ASIC เกือบทั้งหมด (เครื่องขุดขนาดใหญ่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อการขุดคริปโตเคอเรนซี่โดยเฉพาะ) แต่สำหรับ Ethereum เครือข่ายจะทำการแปลงอัลกอริทึม PoW ไปเป็น Ethash ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนหน่วยประมวลผล GPU ที่ออกโดยผู้ผลิตชิประดับโลกเช่น Nvidia และ AMD เท่านั้น
นาย Thomas Heller ผู้อำนวยการธุรกิจระดับโลกของ mining pool ‘F2Pool’ กล่าวอธิบายว่า :
“เนื่องจาก ASIC เป็นเครื่องขุดที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อเครื่องขุดรุ่นใหม่วางจำหน่ายบ่อยครั้งที่เทคโนโลยีจะก้าวกระโดดครั้งใหญ่ จนทำให้อัตราแฮชเรตเพิ่มขึ้นอย่างมากและประสิทธิภาพการใช้พลังงานก็จะดีกว่ารุ่นก่อนหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้ผลิตจะใช้เงินจำนวนมากไปกับการวิจัยและพัฒนา ทำให้เครื่องขุดของพวกเขานั่นมักมีราคาที่ค่อนข้างแพง ในขณะที่ GPU มีราคาที่ไม่ค่อยแพงมากนัก”
นาย Heller กล่าวเสริมด้วยว่าผู้ที่ใช้ GPU นั่น “มีความยืดหยุ่นมากกว่าในสิ่งที่พวกเขาสามารถขุดได้” ยกตัวอย่างเช่นการ์ด Nvidia GeForce GTX 1080 Ti สามารถขุดเหรียญคริปโตได้มากกว่า 15 สกุลเงิน ในขณะที่เครื่องขุด ASIC จะขุดได้เพียงสกุลเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเครือข่าย Ethereum จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ สำหรับเครื่องขุด ASIC อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้ ในเดือนเมษายนปี 2018 Bitmain ได้เปิดตัว Antminer E3 ซึ่งเป็นเครื่องขุด ASIC ที่ถูกผลิตขึ้นมาสำหรับการขุดเหรียญ Ethereum โดยเฉพาะ แม้จะเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีอัตราการแฮชเรตสูงถึง 180 megahashes ต่อวินาทีและใช้พลังงานเพียง 800 วัตต์ แต่สิ่งนี้ก็ได้รับการตอบโต้ที่จากชุมชน Ethereum เนื่องจากเจ้าของเหมือง GPU นั่นดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากการสูญเสียผลกำไรของพวกเขาไป เมื่อเครื่องขุด ASIC มาถึง ในขณะที่บางคนถูกบังคับให้เปลี่ยนไปใช้เครือข่ายอื่น ๆ ในการขุดแทน
ผู้ใช้ Ethereum บางคนชี้ให้เห็นว่าเครื่องขุด Asic ของ Bitmain สามารถนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจมากขึ้นและจะช่วยเพิ่มโอกาสในการโจมตี 51% Attack ได้ในไม่ช้า ดังนั้นกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์จึงได้เสนอ “programmatic proof-of-work” หรือ ProgPoW – ส่วนขยายอัลกอริทึมของ Ethereum ในปัจจุบัน Ethash ถูกออกแบบมาเพื่อให้ GPUs มีการแข่งขันกันมากขึ้น ดังนั้นมันจึงส่งเสริมในเรื่องการกระจายอำนาจมากกว่า
อ้างอิงจากรายงานฉบับเดือนมีนาคมที่เขียนโดยนาง Kristy-Leigh Minehan ผู้ร่วมสร้าง ProgPoW ที่เผยว่าประมาณ 40% ของอัตราแฮชเรตในเครือข่ายของ Ethereum นั้นถูกสร้างขึ้นโดยเครื่องขุด ASIC ของ Bitmain รองประธานของ Poolin ซึ่งเป็น Pool ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของ ETH กล่าวยืนยันว่า “การขุดด้วย GPU ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ” สำหรับเครือข่ายของ Ethereum :
“ในปัจจุบันการทำกำไรจากการขุด ETH นั่นไม่สูงมากนัก และต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของอุปกรณ์ GPU นั้นก็ยังสูงกว่าเครื่องขุด Asic อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ GPU นั่นมีความยืดหยุ่นที่มากกว่า คุณสามารถเปลี่ยนไปขุดเหรียญอื่นที่มีอัลกอริทึ่มแตกต่างกันได้”
อย่างไรก็ตามมันยังคงไม่ชัดเจนว่า ผู้ผลิตเครื่องขุด ASIC ยักษ์ใหญ่อย่าง Bitmain วางแผนที่จะต่ออายุการใช้งานของ Antminer E3 ในปีนี้หรือไม่ ? เนื่องจากการมาของ Ethreum 2.0 นั่นอาจทำให้ยุคของการขุดสิ้นสุดลง
ปลอดภัย แต่ยังไม่ชัดเจนในอนาคต
แน่นอนว่า Ethereum จะย้ายออกไปจากการขุดในอนาคต Ethereum 2.0 มีกำหนดที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง 2020 ซึ่งเป็นการอัพเกรดเครือข่ายที่สำคัญใน Ethereum blockchain ที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนจากอัลกอริทึม PoW ในปัจจุบันไปเป็น PoS และการสร้างบล็อกใหม่ก็จะถูกกำหนดโดย “ความรวย” ของผู้ถือเหรียญ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าการ stake ก็ได้
นั่นหมายความว่าในระบบของ PoS นั้น มันจะไม่มีรางวัลในการสร้างบล็อกใหม่ ดังนั้นผู้ถือ stake จะได้รับค่าธรรมเนียมแทน ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการขุด
นาย Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้งของ Ethereum กล่าวว่าเครือข่ายจะมีความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายในการโจมตีที่แพงกว่า Bitcoin ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลง แม้จะมีการถกเถียงกันว่าอัลกอริธึมแบบใช้ความเห็นพ้องนั่นเป็นสิ่งที่ดีกว่ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการเปิดตัว Ethereum 2.0 เมื่อใด เนื่องจากข้อบกพร่องและปัญหาการจัดการจำนวนมากทำให้การเปิดตัวต้องเลื่อนออกไป
ข้อดีอีกอย่างของระบบ PoS ก็คือมันประหยัดพลังงานมากกว่า PoW ใน proof of work นักขุดจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมาก โดยอ้างอิงข้อมูลจากปี 2015 นั้น การจะสร้าง Bitcoin ขึ้นมา 1 BTC จะต้องใช้พลังไฟฟ้าที่มากถึงบ้านของประชากรอเมริกัน 1.57 ครัวเรือนต่อวัน และต้นทุนค่าไฟเหล่านี้ถูกจ่ายด้วยเงินสด ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดปัญหาด้านมูลค่าเศรษฐกิจของเหรียญ cryptocurrency ในระยะยาวได้
ในการวิจัยล่าสุดนั้น ผู้เชี่ยวชาญได้ถกเถียงว่าการคอนเฟิร์มธุรกรรมของ Bitcoin นั้นอาจจะกินพลังงานไฟฟ้าเท่ากับประเทศเดนมาร์กทั้งประเทศในปี 2020 ก็เป็นได้
นักพัฒนาส่วนใหญ่นั้นกำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวนี้ นั่นจึงทำให้กลุ่มนักพัฒนาของ Ethereum ต้องการที่จะนำเอา proof of stake มาปรับใช้โดยหวังเพื่อลดการใช้พลังงานและทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับนักขุด Ethreum กันล่ะ ? อ้างอิงจากเอกสารการอัพเกรด Casper ซึ่งส่วนหนึ่งที่เขียนในโร้ดแมพของ Ethereum 2.0 ระบุว่า เครือข่ายจะสนับสนุนรูปแบบไฮบริดที่เกี่ยวข้องกับทั้งอัลกอริทึ่ม PoW และ PoS ดังนั้นมันจะเป็นการปล่อยพื้นที่บางส่วนให้กับนักขุด GPU / ASIC ได้ทำดำเนินการต่อไป “มันจะมีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเครือข่ายทั้งสองที่กำลังทำงานอยู่” นาย Jack O’Holleran CEO ของ Skale Network กล่าวว่ากระบวนการนี้จะใช้เวลามากพอสมควร :
“แน่นอนว่ามันจะต้องใช้เวลาอย่างมากสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปยัง ETH2 มันอาจใช้เวลาเป็นปี ๆ แต่ข้อดีของการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ก็คือแพลตฟอร์ม DApps และ DeFi จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและปลอยภัยมากขึ้น ซึ่งนี่จะเป็นผลดีต่อระบบนิเวศของ Ethereum”
จะขุดหรือไม่ขุดดี ?
เมื่อ Ethereum เปลี่ยนไปเป็น PoS อย่างสมบูรณ์ นักขุดเหลือเพียง 2 ตัวเลือกเท่านั้น ตัวเลือกที่หนึ่งก็คือ ขายอุปกรณ์การขุดและใช้เงินจำนวนนั้นเพื่อซื้อ Eth และเริ่มทำการ Stake ในขณะที่อีกตัวเลือกจะมีให้เฉพาะสำหรับนักขุด GPU เท่านั้น ซึ่งก็คือการสลับไปขุดเครือข่าย Ethash อื่น ๆ แทน นาย Nick Foster ตัวแทนของ Kaboomracks ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายเครื่องขุดคริปโตในสหรัฐอเมริกากล่าวว่า นักขุด ETH ส่วนใหญ่มักจะเลือกตัวเลือกอันหลัง :
“ผมจะบอกว่านักขุดส่วนใหญ่ไม่ได้ขุดเหรียญ ETH เพื่อเก็บมันเอาไว้ ใช่เหมืองบางแห่งอาจถือมันเอาไว้ แต่ผมเชื่อนะว่า นักขุด altcoin ส่วนใหญ่จะไม่เก็บเหรียญของพวกเขาไปตลอด”
นาย Foster อธิบายต่อไปว่าเขาจะเปลี่ยนไปขุดเหรียญ Ravencoin (RVN) ทันทีเมื่อการขุด Ethreum ทำกำไรไม่ได้อีกต่อไป Raven เป็นสินทรัพย์บล็อคเชนแบบ peer-to-peer ที่ใช้อัลกอริทึ่มของ Ethash “ใช่ผมจะขุดเหรียญ Ravencoin และผมขายมันไปเป็น BTC ทันทีเพื่อความมั่นคงของผม จากนั้นผมก็จะขาย Btc ไปเป็นเงินดอลลาร์เพื่อจ่ายค่าไฟ ซึ่งนักขุดส่วนใหญ่ก็กำลังใช้กลยุทธ์แบบนี้อยู่”
นาย Foster คาดหวังว่านักขุด ETH ส่วนใหญ่จะพากันเดินออกจากเครือข่าย ในขณะที่ผู้เล่นใหม่ (ผู้ที่ยังไม่ได้มีการลงทุนในเครื่องขุด) จะเลือกทำการ staking ในเหรียญ ETH แทน :
“ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันจะยังไง หากผมเซ็นสัญญาเช่าห้าปีและมีค่าไฟฟ้าอยู่ที่ $ 0.04 ผมจะต้องขุด ETH และขายทุกอย่างเพื่อจ่ายค่าเช่าต่อไปเรื่อย ๆ ดังนั้นหากผมเป็นมือใหม่ ผมอาจจะเลือก stake ในเหรียญ ETH แทน”
นาย Marc Fresa ผู้ก่อตั้งบริษัทเฟิร์มแวร์การขุด ‘Asic.to’ รู้สึกเห็นด้วยกับความคิดนั้นและกล่าวด้วยว่า “หากคุณลงทุนในเครื่องขุด คุณจะไม่ต้องการ staking เพราะคุณมีสิ่งที่คุณต้องทำ”
หนึ่งในเหรียญ altcoins ที่อาจได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากการที่นักขุด PoW พากันเดินออกจากเครือข่ายของ Ethereum นั่นก็คือเหรียญ Ethereum Classic (ETC) เนื่องจากมันทำงานบนอัลกอริธึมของ Ethash และอัตราแฮชของมันอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากการโยกย้ายของนักขุด เมื่อ Ethereum 2.0 เปิดตัว
อะไรจะเกิดขึ้นกับเครือข่ายส่วนที่เหลือ ?
สำหรับระบบนิเวศของ Ethereum ที่มีขนาดใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญให้คำยืนยันแล้วว่า การเปลี่ยนไปใช้ PoS จะมีรูปแบบการดำเนินงานที่ไม่ซับซ้อน และผู้ที่มีส่วนร่วมในเครือข่ายจะแทบไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ โดยนาย Viktor Bunin ผู้เชี่ยวชาญด้านโปรโตคอลของบริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้าน blockchain และ สมาชิกของสมาคม Libra กล่าวว่า :
“Ethereum mainnet ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ คาดว่าจะถูกเพิ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ETH2 ในเฟส 1.5 และทั้งหมดจะเข้ามาเปลี่ยนกลไกความเห็นพ้อง ดังนั้นผู้ใช้ไม่จะแทบไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ”
นาย Bunin กล่าวต่อไปอีกว่า “ข้อกังวลใด ๆ ที่อ้างว่าเครือข่ายจะถูก Fork ออกจาก บน PoW chain ที่เหลืออยู่ หรือ DApps จะเผชิญกับปัญหาขัดข้องนั้นเป็นเรื่องที่ฟังดูเกินความเป็นจริง” นาย O’Holleran CEO ของ Skale Network กล่าวว่า “ETH 2 เป็นเครือข่ายใหม่ที่ใช้โทเค็นตัวใหม่และรูปแบบเงินเฟ้อแบบใหม่”
“การเชื่อมต่อทุกอย่างจะต้องเป็นองค์ประกอบเดียวกันทั้งหมดและเข้ากันได้กับระบบนิเวศของ Ethereum โทเค็นจากเครือข่ายแรกสามารถถูกเผาทิ้งได้และถูกแทนที่ด้วยโทเค็นจากเครือข่ายที่สอง สิ่งนี้หมายความว่าผู้ใช้งานจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนเครือข่ายด้วยตัวเอง”
ที่มา : cointelegraph