<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สาเหตุหลัก ๆ ที่ราคา Bitcoin นั้นหยุดพุ่งขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในอดีตบริษัท Big Tech และ Bitcoin นั่นไม่ได้ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันมากนัก แต่ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ปัจจุบัน Bitcoin มีเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากมันยังคงติดอยู่ในช่วงการซื้อขายไปมาอยู่ที่ระหว่าง $ 9,000 – $ 9,200 ด้วยเหตุนี้นักเทรดรายวันจึงได้แสวงหาโอกาสทำกำไรในเหรียญคริปโตตัวอื่น ๆ ในช่วงเวลานี้แทน เช่น Link , XLM และอื่น ๆ

bitcoin, btcusd, xbtusd, cryptocurrency, crypto

แม้จะมีเรื่องราวการทำนายราคาไว้ที่ระดับ $ 100,000 ในระยะยาว แต่ถึงอย่างนั้น Bitcoin ก็ไม่ได้แสดงเคลื่อนไหวที่น่าตื่นเต้นให้เราเห็น

ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของราคา Bitcoin หลังจากที่ตลาดคริปโตพังทลายลงในเดือนมีนาคม เนื่องจากความกังวลในเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางและความกลัวที่ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลดลง ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Bitcoin มีสัมพันธ์กับตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมเพิ่มมากขึ้น

ระดับความสัมพันธ์ในระยะสั้นของ Bitcoin และดัชนีหุ้น S&P 500 ได้พุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มตลาดของ Bitcoin นั่นขึ้นอยู่กับว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะมีดำเนินการอย่างไร

bitcoin, btcusd, xbtusd, cryptocurrency, crypto

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ Bitcoin มีความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับบริษัท ‘Big Tech’ ซึ่งเป็นดัชนีที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับหุ้นเทคโนโลยีเช่นบริษัทชั้นนำอย่าง Apple, Alphabet, Facebook, Netflix และ Amazon

ส่วนแบ่งเค้กชิ้นใหญ่ที่สุด

หุ้นของบริษัท Big Tech ทั้งหมดถูกราคาประเมินมูลค่าไว้อยู่ที่ 7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 23 เปอร์เซ็นต์ของดัชนีหุ้น S&P 500 ในขณะเดียวกันพวกมันก็คิดเป็น 40% ของดัชนี Nasdaq Composite โดยรวมแล้วดัชนีหุ้นที่เรียกว่า FAANG คือ 18% ของตลาดหุ้นสหรัฐ

ผลสำรวจล่าสุดของ Bank of America พบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 หุ้นเทคโนโลยีมีการเติบโตเพิ่มขึ้นในเชิงบวกมากกว่าภาคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มีความเสี่ยงต่ำ สิ่งนี้ได้ทำให้ราคาหุ้งพุ่งแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่าพวกมันคือสวรรค์ของการลงทุน ในช่วงที่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 

แอปเปิ้ล, Netflix, Facebook, Amazon, Google, เทคโนโลยีชั้นสูง, Faang

นั่นเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมดัชนีหุ้น Nasdaq Composite ถึงมีหุ้นเทคโนโลยีมากกว่า S&P 500

แต่ดูเหมือนว่าปาร์ตี้ของหุ้นเทคโนโลยีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากนักลงทุนต้องเผชิญตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นในสหรัฐ และอาจตามมาด้วยการสั่ง lockdown อีกครั้ง 

ฟองสบู่ในหุ้นเทคโนโลยี

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานาย Sean Darby นักวิเคราะห์กลยุทธ์ด้านการลงทุนที่ Jefferies Global ได้เปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อหุ้นบริษัท ‘Big tech’ จากช่วงขาขึ้นไปเป็นช่วงขาลง นักวิเคราะห์กล่าวว่าเขาได้สังเกตเห็นการร่วงลดลงของหุ้นเล็กน้อย ในขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ยังคงมีการเคลื่อนไหวอยู่ในรูปแบบเดิม ๆ 

นาย Darby เชื่อว่าหุ้นเทคโนโลยีนั่นมีมูลค่าที่สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยเขาได้อ้างถึงเหตุการณ์ ‘Four Horsemen’ ที่เกิดขึ้นปี 1990 ที่หุ้นทั้ง 4 ตัวอย่าง Microsoft, Oracle , Dell , และ Cisco Systems ได้ครองส่วนแบ่งตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด และมันดูคล้ายกับเหตุการณ์ฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น

การสำรวจของ BofA ยังระบุด้วยว่า ในขณะนี้หุ้นของบริษัท Big tech มี “การเทรดที่แออัดมากที่สุด” สิ่งนี้อาจทำให้มูลค่าของหุ้นเทคโนโลยีนั่นมีมูลค่าที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง เนื่องจากนักลงทุนกำลังมองหาทางหลีกเลี่ยงพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำ

ในที่สุดความสนใจเหล่านี้จะถูกโยนมาให้กับ Bitcoin เมื่อฟองสบู่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหากหุ้นของบริษัท Big tech ร่วงลดลงในสัปดาห์หน้า มันอาจทำให้ดัชนีหุ่น S&P 500 และ Nasdaq ร่วงลงไปพร้อมกัน 

ที่มา : newsbtc