<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เจ้าของเว็ปเทรด Bitcoin ชื่อดังรายหนึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดข้อหาฉ้อโกง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เจ้าของเว็ปเทรดคริปโต ‘RG Coins’ ในบัลแกเรียถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฟอกเงินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฉ้อโกงการประมูลข้ามชาติ

หลังจากการพิจารณาคดีนานกว่าสองสัปดาห์ นาย Rossen Iossifov ชาวบัลแกเรียวัย 53 ปีก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันฉ้อโกง โดยคณะลูกขุนของรัฐบาลกลางในแฟรงก์ฟอร์ต,รัฐเคนตักกี้ และนาย Iossifov จะต้องเผชิญกับการพิจารณาคดีอีกครั้งในวันที่ 12 มกราคม 2021

คณะลูกขุนพบว่ามีเหยื่อชาวอเมริกันอย่างน้อย 900 รายที่ถูกหลอกในโครงการประมูลของนาย Iossifov ผู้สมรู้ร่วมคิดในโรมาเนียได้โพสต์โฆษณาบนแพลตฟอร์มการประมูลยอดนิยมอย่างเช่น eBay และ Craigslist สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูงเช่น ยานพาหนะที่ไม่มีอยู่จริง

กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐเปิดเผยว่า นักต้มตุ๋นจะมอบเอกสารและใบแจ้งหนี้ปลอม ๆ แก่เหยื่อของพวกเขา โดยเอกสารเหล่านี้จะมีเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่มีชื่อเสียงเพื่อให้เหยื่อไว้วางใจและยังมี  “เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ” เพื่อบรรเทาความกังวลของเหยื่ออีกด้วย

เมื่อพวกเขาได้รับการชำระเงินแล้ว นาย Iossifov จะแปลงเงินเหล่านั้นไปเป็นสินทรัพย์คริปโตและโอนเงินไปให้กับผู้ฟอกเงินนอกชายฝั่ง คณะลูกขุนพบว่า Iossifov ใช้บริการของกลุ่มอาชญากรมานับตั้งแต่เดือนกันยายน 2015 จนถึงเดือนธันวาคม 2018 โดยแลกเปลี่ยนไปเป็นสกุลเงิน Bitcoin ที่มีมูลค่ามากกว่า 4.9 ล้านดอลลาร์และแบ่งให้กับสมาชิกภายในองค์กรทั้งหมด 4 คน

การจับกุมถูกดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา โดยได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของโรมาเนียและหน่วยงานดำเนินคดีกับองค์กรอาชญากรรมของโรมาเนีย

นาย Iossifov ตกเป็นจำเลยรายที่ 17 ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีนี้ โดยมีผู้กระทำผิดอีกสามรายที่ยังคงหลบหนีอยู่ในขณะนี้และจำเลยมากกว่า 12 คนได้ถูกส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากโรมาเนีย

RG Coins ก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 2014 โดยมีเว็บไซต์ขายกระเป๋าเงิน Hardware wallet และแพลตฟอร์มให้บริการแลกเปลี่ยนสกุลคริปโตสำหรับภูมิภาคยุโรปตะวันออก

โดยสรุปแล้ว คดีดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าใครก็ตามที่มอง Bitcoin ว่าเป็นเครื่องมือที่เหล่าอาชญากรสามารถเพื่อใช้หลีกเลี่ยงกฎหมายได้นั้น ถือว่าเป็นแนวคิดไม่ถูกต้องไปซะทีเดียว เนื่องจากว่าความโปร่งใสในการทำธุรกรรมของมันสามารถถูกติดตามได้ผ่าน blockchain และทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามร่องรอยได้ไม่ยาก แม้จะมีการฟอกเงินไปแล้วก็ตาม

ที่มา : cointelegraph