ปัจจุบัน Ripple กำลังเผชิญคดีความอยู่กับก.ล.ต. สหรัฐฯ และปัญหาการถูก delist ออกจากแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตจำนวนหลายแห่ง ทำให้ในอนาคตอาจต้องมีการวางแผนการตลาดกันใหม่ตั้งแต่ต้น และหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจนั้นก็คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รองรับโดยธนาคารแห่งชาติ (CBDC)
โดยในอดีต ผู้บริหารระดับสูง นาง Emi Yoshikawa ของ Ripple ได้ออกมากล่าวว่า “XRP นั้นไม่ได้มีเป้าหมายที่จะแข่งขันกับ Stablecoin และ CBDC แต่อย่างใด อีกทั้ง XRP แทบจะเป็นส่วนต่อขยายของ Stablecoin อีกด้วย”
ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา CEO ของ Ripple นาย Brad Garlinghouse ก็ออกมายอมรับว่าล่าสุดธนาคารกลางได้เข้ามาตรวจสอบ XRP Ledger ว่ามีความสามารถที่จะเป็นเทคโนโลยี open source สำหรับการออกเหรียญ Stablecoin ได้หรือไม่
ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา Ripple ก็ได้ยืนยันว่าทางบริษัทสามารถเป็นสะพานเชื่อมต่อให้กับ CBDC ได้เช่นเดียวกับประเทศจีนที่กำลังเริ่มทดลอง Digital Yuan อย่างต่อเนื่อง โดยสำหรับ Ripple จะใช้สกุล XRP เป็นตัวทดแทนมูลค่า อาจกล่าวได้ว่าระบบนี้คงไม่ได้มีการวางไว้เพื่อแทนที่เหรียญ XRP อย่างแน่นอน แต่จะเป็นส่วนต่อยอดของ XRP เสียมากกว่า
CTO บริษัท Ripple นาย David Schwartz กล่าวว่า XRP Ledger นั้นทำให้ธนาคารต่าง ๆ สามารถออกสกุลเงิน Stablecoin กันเองได้แล้ว โดยเพียงแค่เชื่อมต่อ Node เข้ากับพื้นฐานการเงินของแต่ละที่เท่านั้น ก็ทำให้ระบบ Stablecoin บน XRP Ledger เริ่มใช้งานได้แล้ว
ซึ่งเขายังได้กล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดที่ OCC อนุญาตให้ธนาคารในสหรัฐฯ สามารถทำธุรกรรมด้วย Stablecoin ได้แล้ว ส่งผลให้ Ripple มีความได้เปรียบกว่าบริษัทอื่นมาก ๆ อีกทั้งเขายังสนับสนุนให้ธนาคารต่าง ๆ ออก Stablecoin เป็นของตนเองผ่าน XRP Ledger อีกด้วย
จากทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่าแม้จะมีเทคโนโลยีพร้อมสำหรับออกเหรียญ Stablecoin แล้วแต่ Ripple ก็ไม่ได้มุ่งหวังที่จะออก Stablecoin เป็นของตนเองเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามด้วยระบบนี้ทำให้มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่าในอนาคตธนาคารต่าง ๆ จะสามารถสร้างเหรียญ Stablecoin ของตนเองได้ผ่าน XRP Ledger เช่นเดียวกับประเทศยูเครนที่วางแผนจะสร้างสร้างเหรียญ Stablecoin บนระบบของเหรียญ Stellar
ซึ่งทั้งหมดนี้ดูท่าจะเป็นอนาคตที่สามารถสานต่อไปได้ไกลแต่ Ripple จะต้องผ่านคดีความที่จะขึ้นศาลในเดือนกุมภาพันธ์นี้ไปให้ได้เสียก่อน เพราะระบบการออกเหรียญของ XRP Ledger นั้นได้พึ่งพาสกุลเงิน XRP เป็นหลัก
ที่มา: cryptobreifing