เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากบริษัท Tesla ของ Elon Musk มีการประกาศยกเลิกการรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ ทำให้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในชุมชนชาวคริปโตเคอร์เรนซีเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของสกุลเงินดิจิทัล
บริษัท Ripple ได้สนับสนุนความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมของคริปโตเคอร์เรนซีอย่างยั่งยืน และตั้งเป้าหมายที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี 2030
โดยประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ของ Ripple เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก รวมถึงรายชื่อหุ้นส่วนของบริษัทอย่าง Bill & Melinda Gates Foundation, Mercy Corps, Mojaloop Foundation เป็นต้น
โดยรวมแล้วบริษัท Ripple มีพันธมิตรองค์กร NGO ใน 80 ประเทศทั่วโลก รวมถึงบริษัทชั้นนำด้านความยั่งยืนเช่น Renewable Energy Buyers Alliance (REBA), Energy Web Foundation และ Watershed เองก็ได้เข้าร่วมกับการพัฒนาดังกล่าว
รายงานบนเว็บไซต์ของ Ripple ได้พูดถึงการใช้พลังงานของ Ripple เมื่อเทียบกับคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ อย่างบิทคอยน์และ Ethereum โดย XRP มีการใช้พลังงานฟอสซิลเพียง 63,000 แกลลอนต่อ 100 ล้านธุรกรรม ขณะที่บิทคอยน์มีการใช้พลังงาน 4 พันล้านแกลลอน และ Ethereum ใช้พลังงาน 239 ล้านแกลลอนต่อ 100 ล้านธุรกรรม
“ระบบการเงินทั่วโลกในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองผู้คนกว่า 1.7 พันล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของทางธนาคารได้ สินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบัญชีแบบแยกประเภท (DLT) จะช่วยให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถเข้าถึงบริการทางด้านการเงินขั้นพื้นฐาน และทำให้การรับส่งเงินข้ามประเทศสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น, ถูกขึ้น และปลอดภัยขึ้น”
โดยปัจจุบัน XRP ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นคริปโตเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดโดยรวมมากที่สุดอันดับที่ 5 ตามมูลค่าหลักทรัพย์ราคาตลาด