ทฤษฎีสมคบคิดที่เกิดขึ้นใหม่ ว่าด้วยสองขั้วอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯ ได้ทำการจับมือกันต่อต้านคริปโตเคอร์เรนซี กำลังได้รับความสนใจจากผู้เชี่ยวชาญคริปโตต่าง ๆ
สัญญาณเตือนดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลและไม่สบายใจต่อบิทคอยน์และอนาคตของระบบนิเวศ
Meltem Demirors หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ CoinShares เชื่อว่าการโจมตีจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งเธอระบุเน้นย้ำว่านี่จะเป็นการโจมตีที่แตกต่างไป จะมีการวางแผนและความเข้มงวดมากขึ้นกว่าครั้งก่อน ๆ
จากสถานการณ์และแนวโน้มของกฎระเบียบการกำกับดูแลที่มากขึ้นในช่วงนี้ เป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวให้ดูมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามผู้สังเกตการณ์จำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้ ที่จะมีการร่วมมือกันระหว่างชนชั้นสูงหรือสถาบันท่ามกลางความรู้สึกต่อต้านบิทคอยน์ที่เพิ่มขึ้น
สถาบันของรัฐมีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะตัดสินใจต่อต้านบิทคอยน์ (BTC) และพยายามขัดขวางสินทรัพย์ซึ่งกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
บิทคอยน์, คริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีการควบคุม และเงินดิจิทัลที่มีการกระจายศูนย์เหล่านี้ กำลังทำการปฏิวัติตลาดการเงิน ซึ่งความพยายามดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาล
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลเกิดความระแวง และทำให้ธนาคารต่าง ๆ เริ่มมองหาวิธีการควบคุมการไหลของเงินทุนและผลกำไรจากบล็อกเชน Meltom และผู้วิจารณ์คริปโตบางคนอธิบายว่ามันจะเป็นยุคศักดินายุคใหม่ในศตวรรษที่ 21
อย่างไรก็ตามสถาบันที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ กำลังโจมตีบิทคอยน์ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นได้จากการร่วงลงของคริปโตเคอร์เรนซีในชั่วข้ามคืน
การโจมตีอย่างแรกคือการประกาศแบนคริปโตจากรัฐบาลจีน ที่ได้สั่งห้ามสถาบันการเงินและบริษัทชำระเงินไม่ให้ให้บริการกับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซี
ตามมาด้วยการแสดงออกของ Janet Yellen รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และสถาบันของรัฐอื่น ๆ ที่มีแนวทางต่อต้านบิทคอยน์เช่นเดียวกัน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายของบิทคอยน์ร่วงลงต่ำกว่า 40,000 ดอลลาร์เล็กน้อยก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมา
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวจาก Elon Musk ที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับบิทคอยน์ หลังเขาประกาศยกเลิกการยอมรับบิทคอยน์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม