ความสามารถในการปรับขนาดเครือข่าย Blockchain ถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่อุตสาหกรรม crypto กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน การเติบโตของ DeFi อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนของอุตสาหกรรมนี้ทำให้การโอนเหรียญหากันมีความล่าช้า, มีราคาแพง และมีความเสี่ยง ซึ่งได้ผลักดันให้ผู้ใช้งานไปสู่แพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์มากขึ้น
และในขณะที่ระบบ Layer 2 ถูกสร้างขึ้นมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่เครือข่าย Layer 2 ส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาในแบบวัวหายล้อมคอก มากกว่าที่จะมาเป็นส่วนเสริมหรือส่วนหนึ่งของระบบ
แต่ Solution Layer 2 ของ Cardano นั้นถูกวางแผนมาแต่ต้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับ Hydra ของ Cardano นั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากว่า IOHK นั้นได้ออกแบบตัว layer 2 ดังกล่าวมาพร้อม ๆ กับระบบ blockchain ของเหรียญตั้งแต่ต้น
โซลูชันการปรับขนาดดั้งเดิมที่เรียกว่า Hydra ได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่เครือข่ายบล็อคเชนต้องเผชิญเมื่อต้องรับมือกับปริมาณธุรกรรมที่มีจำนวนมหาศาล ประการแรก เครือข่ายจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการตั้งค่าค่าธรรมเนียมให้ต่ำพอที่จะทำให้ผู้ใช้พอใจ และตั้งค่าให้สูงพอที่จะยับยั้งการโจมตีแบบ DoS ที่อาจเกิดขึ้นได้ ประการที่สอง เครือข่ายยังต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะไม่ประสบปัญหาด้านการจัดเก็บข้อมูลเนื่องจากบันทึกประวัติการทำธุรกรรมนั้นเพิ่มขึ้นพร้อมกับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น
Hydra จะช่วยจัดการกับข้อกังวลทั้งหมดเหล่านี้โดยการจัดหาเครือข่ายด้วยวิธีการประมวลผลธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ธุรกรรมส่วนใหญ่สามารถประมวลผลนอกเครือข่ายและใช้ ledger ตัวหลักเป็นตัวช่วย settlement เนื่องจากมีความปลอดภัยสูงกว่า
เนื่องจากไฮดรามีการเชื่อมต่ออย่างหลวม ๆ กับ chain หลัก จึงทำให้เกิดแนวคิดที่เรียกว่า “isomorphic state channels” ที่เป็นเหมือนกับ ledger ที่ทำงานอยู่บน off-chain และถูกเชื่อมต่อกันหลาย ๆ ตัวพร้อม ๆ กับ chain หลัก
แต่ละเชนเหล่านี้ถูกเรียกว่า Heads โดยมันสามารถถูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายดาย และมันสามารถช่วยเหลือแพลทฟอร์ม NFT และ native asset ในด้าน script ได้อีกด้วย
ทางด้าน IOHK เผยว่าโปรโตคอล Hydra Head กำลังได้รับการทดสอบอย่างกว้างขวางและในไม่ช้าจะกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับนักพัฒนาในการสร้างแอปพลิเคชัน
ในอีก 6 ถึง 12 เดือนข้างหน้า IOHK จะแนะนำวิธีเชื่อมต่อ Hydra Heads หลายหัวเพื่อเพิ่มการเข้าถึงของโซลูชันการปรับขนาด
“Hydra จำลองการทำงานของห่วงโซ่หลักในขณะที่ลดแรงเสียดทานสำหรับผู้ใช้ แต่ก็ยังช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการมีโครงสร้างค่าธรรมเนียม / ต้นทุนที่แตกต่างกันและข้อ จำกัด ด้านเวลาในเลเยอร์ 2” IOHK กล่าว พร้อมเสริมว่า “ระบบนิเวศที่ประสบความสำเร็จใดๆ จะสร้างสมดุลให้กับความต้องการของผู้ใช้ทุกคน เราต้องการให้ระบบนิเวศนี้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภครายบุคคล, องค์กร, ผู้เชี่ยวชาญ, และ DApps และนักพัฒนาที่เพิ่มขึ้น