เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2017 องค์กร Financial Crimes Enforcement Network (FinCEN) หรือองค์กรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ทำหน้าที่สืบสวนอาชญากรรมด้านการฟอกเงินในประเทศได้ทำการประกาศแถลงข่าวว่าได้ทำการปรับเว็บเทรด Bitcoin ชื่อดังนามว่า BTC-e หรือมีชื่อบริษัทอีกชื่อว่า Canton Business Corporation (BTC-e) ในข้อหา “จงใจฝ่าฝืนกฎหมายป้องกันการฟอกเงิน (AML)”
FinCEN นั้นได้ทำงานร่วมกับทางอัยการของศาลเขตเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยอ้างอิงจากเอกสารของทางการ นาย Alexander Vinnik หรือแอดมินของ BTC-e ที่เพิ่งจะถูกจับกุมประเทศกรีซและถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ช็อควงการณ์ Bitcoin ในคดี Mt Gox ได้ถูกศาลของเขตแคลิฟอร์เนียฝั่งเหนือตัดสินว่าทำผิดกฎหมายภายใต้ข้อ 8 U.S.C. §§ 1956, 1957, and 1960 ที่ว่าด้วยการฟอกเงิน, สมรู้ร่วมคิดเพื่อทำการฟอกเงิน, มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านการเงินที่ผิดกฎหมาย และเปิดบริการส่งย้ายเงินแบบไม่มีใบอนุญาต โดยทาง FinCEN ได้ทำการปรับนาย Vinnik เป็นมูลค่าถึง 12 ล้านดอลลาร์
ผู้รักษาการผู้อำนวยการของ FinCEN นามว่า El-Hindi ได้ออกมาเตือน BTC-e ว่าทางพวกเขานั้นจะทำการยึด และถือเงินของบริษัทที่ให้บริการทางด้านการโอนหรือจ่ายเงินระหว่างประเทศในสหรัฐฯแบบผิดกฎหมายการป้องกันการฟอกเงิน เขากล่าว
“การกระทำดังกล่าวนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่จะช่วยยับยั้งใครก็แล้วแต่ที่มีแนวคิดที่จะทำ ransomware, ขายยาเสพย์ติดผ่าน dark net, หรือทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับเหรียญ cryptocurrency ทางทีม FinCEN และตำรวจจะทำการประสานงานร่วมกับรัฐบาลของประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั่วโลก เพื่อให้แน่ใจว่าสกุลเงินดิจิตอลนั้นถูกใช้ซื้อขายอย่างถูกต้อง และตกอยู่ภายใต้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายด้านการป้องกันการฟอกเงินของประเทศสหรัฐฯ”
โดย FinCen นั้นจะประสานงานกับทางตำรวจกรองปราบเพื่อทำทุกอย่าง ตั้งแต่ตักเตือนหรือบังคับปิดกิจการของ BTC-e รวมไปถึงการจับกุมนาย Vinnik ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังได้ทำงานร่วมกับ Internal Revenue Service-Criminal Investigation Division, Federal Bureau of Investigation, United States Secret Service, และ Homeland Security Investigators เพื่อทำการสืบสวนคดีดังกล่าวอีกด้วย
สำหรับ BTC-e นั้นมีคนกล่าวว่าเป็นผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนที่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางด้านอาชญากรรมมากมายไม่ว่าจะเป็นการแอบขโมยข้อมูลของผู้ใช้งานบนเว็บบางคน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า, อีเมล์, รหัสผ่าน และ username โดยอ้างอิงจากรายงานนั้น ผู้ใช้งานบนเว็บมักจะมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายในช่องแชทเป็นประจำ รวมถึง customer service ของ BTC-e ยังมีการช่วยชี้แนะผู้ใช้งานทางด้านกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างเช่นการซื้อยาเสพย์ติดบน dark net อย่างเช่น Silk Road, Hansa Market และ AlphaBay อีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น BTC-e นั้นยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ช่วยฟอกเงินจากที่ขโมยมาได้จาก Mt Gox ใรระหว่างปี 2011 จนถึง 2014 รวมถึง Bitcoin จำนวน 300,000 BTC ที่สามารถตามได้บน Blockchain จนไปถึงตัวผู้ขโมยได้อีกด้วย FinCen ได้กล่าวว่าพวกเขาได้ตรวจสอบพบธุรกรรมราวๆ 3 ล้านดอลลาร์ที่เชื่อมโยงไปถึงการโจมตีของ ransomware เช่นกัน โดยเฉพาะของ Cryptolocker และ Locky อีกทั้ง BTC-e นั้นยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมผ่านเว็บให้บริการทางด้านฟอกเงินที่ถูกปิดตัวไปแล้วนามว่า Liberty Reserve ซึ่งเว็บนี้มีเจ้าของเดียวกันกับ BTC-e
FinCEN ได้รายงานว่า BTC-e ได้ทำธุรกรรมที่มากกว่า 296 ล้านดอลลาร์ทั้งใน Bitcoin และเหรียญคริปโตอีกราวๆหมื่นกว่าเหรียญโดยไม่มีการสนใจถึงประเทศที่พวกเขาให้บริการ ทาง FinCEN ได้กล่าวว่า BTC-e นั้นจะต้องทำตามกฎหมายการป้องกันการฟอกเงินของสหรัฐอย่างเคร่งครัด
ในขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ เว็บ BTC-e นั้นกำลังปิดให้บริการอยู่ โดยขึ้นประกาศว่าเว็บไซต์กำลังปิดปรับปรุง ขออภัยในความไม่สะดวก และมีการทวีตล่าสุดจากทาง BTC-e ที่บอกว่า
“ทางเรากำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้เว็บกลับมาเปิดใช้บริการได้อีกครั้ง โดยอาจใช้เวลา 5-10 วัน”
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น