“ทำไมค่าธรรมเนียมไม่เห็นลดลงเลยครับ” กล่าวโดยผู้ใช้งาน Reddit รายหนึ่ง
ในขณะที่อีกคนหนึ่งโพสรูปภาพของผู้ชายคนหนึ่งเอาไม้จิ้มคำว่า “SegWit” และพูดว่า “เฮ้ย ทำอะไรหน่อยสิ”
คอมเม้นดังกล่าวแม้ว่าจะมีกระจัดกระจายออกไป แต่ก็บ่งชี้ได้ถึงปฏิกิริยาของผู้ใช้งาน Bitcoin ทั่วๆไปบางคนที่มีต่อ Segregated Witness (SegWit) หรือโคดอัพเกรดระบบ Bitcoin ที่เป็นที่ถกเถียงกันมาเกือบสองปี ได้ถูกเปิดใช้งานไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เทคโนโลยีดังกล่าวนี้สัญญาสองสิ่งให้กับผู้ใช้ Bitcoin อย่างแรกก็คือจัดการขนาดธุรกรรมให้พอดีต่อขนาดบล็อก และอย่างที่สองก็คือเป็นถนนหนทางไปสู่การติดตั้ง Lightning Network แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผลจากการเปิดใช้งาน SegWit นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในทันที
ซึ่งเรื่องจริงก็คือมันจะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ กว่าเทคโนโลยีนี้จะเริ่มมีผลในวงกว้าง
ซึ่งแม้แต่เครื่องมือที่ใช้สำรวจบล็อกส่วนใหญ่อย่างเช่น “Block explorer” (เครื่องมือด้าน blockchain ที่เอาไว้ใช้ตรวจธุรกรรมบนเครือข่าย) ก็ยังไม่ได้มีการเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับ SegWit ออกมามากนัก ทำให้มันเป็นเรื่องยากที่จะติดตามว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ถูกเปิดใช้แบบจริงๆไปมากแค่ไหนแล้ว
เว็บ SegWit.party เป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่ายของ Bitcoin ว่า SegWit นั้นถูกเปิดใช้งานต่อบล็อกไปมากขนาดไหนแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการเปิดใช้จาก 0.5% ต่อบล็อกไปเป็น 1% ต่อบล็อกในช่วง 6 วันที่ผ่านมานี้ ในขณะที่กราฟอื่นๆได้แสดงให้เห็นถึงขนาดของบล็อกทั้งหมด
หรือถ้าจะพูดให้ง่ายๆก็คือ SegWit ที่เปิดใช้ไปแล้วนั้น ก็แทบเหมือนกับยังไม่ได้เปิดใช้เลย
เว็บ OXT.me ที่ถูกสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน Bitcoin นามแฝงว่า LaurentMT สามารถที่จะแทร็คจำนวนตัวเลขของธุรกรรม SegWit รายวัน อีกทั้งมันยังสามารถที่จะแทร็คข้อมูลชนิดใหม่อย่างเช่น “virtual block size” ได้ด้วย
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
เมื่อเราดูกราฟเหล่านี้เราจะได้เห็นว่า SegWit นั้นยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเข้าที่
เรื่องของธุรกิจ
แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมคนถึงยังไม่หันมาปรับใช้ SegWit กันอย่างกว้างขวางอีกทั้งๆที่มันเปิดใช้งานแล้วล่ะ? คำตอบก็คือมันขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน Bitcoin และบริษัทต่างๆที่จะปรับตัวใช้เทคโนโลยีที่ว่านี้ เนื่องจากว่าผู้ใช้ Bitcoin ส่วนใหญ่ใช้กระเป๋าแบบ software เพื่อทำธุรกรรม ดังนั้นกระเป๋าหล่านั้นจะต้องเพิ่มเทคโนโลยี SegWit เข้าไปก่อนที่จะใช้งานได้
มีบริษัทผู้ให้บริการกระเป๋าด้าน Bitcoin ราวๆ 141 บริษัทที่เคยออกมาสัญญาว่าจะรองรับการสนับสนุน SegWit ทว่าแม้ว่าจะมีผู้ให้บริการออกมาเปิดให้การสนับสนุนแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่จำเป็นเสมอไป เนื่องจากว่านักพัฒนาบางคนได้ออกมาเถียงว่าพวกเขาควรที่จะทดสอบเทคโนโลยีที่ว่านี้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ก่อนที่จะเปิดใช้จริงให้กับผู้ใช้งาน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกระเป๋า Bitcoin ที่ผูกติดอยู่กับตัว full node ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หรือ Bitcoin Core ยังไม่รองรับ SegWit นั่นเอง
“การใช้ SegWit ก่อนการเปิดใช้จริงนั้นมันไม่ปลอดภัย และอาจจะทำให้ผู้ใช้งานเสียเงินได้ถ้าหากทางนักขุดเกิดคิดไม่ซื้อขึ้นมา” กล่าวโดยนาย Greg Maxwell หรือ CTO ของ Blockstream และผู้ช่วยเหลือ Bitcoin Core โดยเขาได้ออกมาเถียงว่าการไม่เพิ่ม SegWit เข้าไปในหน้าต่างการใช้งานกระเป๋าของเขานั้น “ถือเป็นเรื่องจงใจ”
อย่างไรก็ตาม เขายังได้กล่าวเพิ่มว่านักพัฒนาสามารถที่จะใช้การพิมพ์คำสั่งลงไปเพื่อเปิดใช้ SegWit บนกระเป๋าได้ด้วยตัวเอง
กระนั้นก็มีผู้ให้บริการกระเป๋า Bitcoin สำหรับผู้บริโภคทั่วไปอย่าง BitGo (ที่รองรับโดยเว็บเทรดบางเว็บ) ที่กำลังทำการแก้ไขอยู่ ในขณะที่ผู้ให้บริการกระเป๋าแบบ hardware อย่าง Ledger และ Trezor นั้นเพิ่มการรองรับเรียบร้อยแล้ว
เจ้าอื่นๆนั้นก็กำลังตามมาเรื่อยๆ
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
รอต่อไป
คำถามที่ตามมาคือ มันจะใช้เวลานานขนาดไหน คำถามดังกล่าวนั้นก็ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ และมันก็ยังเป็นเรื่องเสี่ยงด้วยที่จะถาม เพราะมันอาจจะไปทำให้ดรามาเก่าๆในวงการนักพัฒนา Bitcoin เกี่ยวกับ SegWit ปะทุขึ้นมาอีก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจก็คือธุรกรรมที่รองรับ SegWit นั้นจะแสดง “น้ำหนัก” (weight) ที่แตกต่างไป ซึ่งธุรกรรมแบบเก่าปกติทั่วๆไปนั้นจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 4 ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าบล็อก 1 บล็อกถูกนำเอาจำนวนธุรกรรมที่ไม่ใช่ SegWit ใส่เข้าไป ขนาดของบล็อกก็ยังคงอยู่ที่ 1MB แต่ในขณะเดียวกัน น้ำหนักของธุรกรรม SegWit นั้นจะอยู่ที่ 0.25 เท่านั้น
การคำนวณดังกล่าวจะช่วยให้เรารู้ถึงจำนวนธุรกรรมที่จะถูกจับยัดลงไปในบล็อกได้ ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน SegWit ด้วยว่าจะมีมากขนาดไหน แม้ในระยะยาวนั้นมันก็อาจจะมีสะสมปนกันไปทั้งธุรกรรมที่เป็น SegWit และไม่ได้เป็น SegWit
นักพัฒนาบางคนเชื่อว่าขนาดบล็อกโดยเฉลี่ยนั้นจะมีอยู่ที่ราวๆ 1.7MB ในขณะที่บางคนเถียงว่าแรงจูงใจของนักขุดนั้นอาจจะทำให้มันพุ่งขึ้นไปถึง 2MB
ทว่าก็มีนักพัฒนาบางกลุ่มที่ยังคงยืนหยัดในแนวคิดของพวกเขา และเตรียมการที่จะทำการ hard forkอีกครั้งหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เพื่อเพิ่มขนาด block แบบ hard code ลงไป
ซึ่งทางผู้ใช้งาน Bitcoin ก็ยังคงต้องดูกันต่อไปว่าเมื่อไรเหรียญที่เป็นที่รักของกลุ่มผู้ใช้งาน cryptocurrency นี้จะสามารถหาจุดลงเอย ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับที่มันเคยเป็น
ภาพจาก coinjournal
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น