สวัสดีครับชาว Siam Blockchain ทุกคนเนื่องจากในช่วงนี้ Ethereum นั้นก็ได้เข้าสู่ช่วงการอัพเกรดของ Metropolis แล้ว สำหรับใครที่ไม่เข้าใจว่า Metropolis คืออะไรทางเราก็ต้องขออธิบายก่อนว่า Ethereum Platform นั้นได้เขียน Roadmap การพัฒนาระบบไว้นานแล้วซึ่งในการพัฒนาจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ขั้นตอนใหญ่ๆได้แก่
Frontier
เวอร์ชั่นแรกของ Ethereum ที่ได้มีการพัฒนาระบบหลักของ Ethereum ทั้งหมดมันเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมปี 2015 ทำให้คนใชช้สามารถทำการ Mining และแลกเปลี่ยน Ethereum ได้
Homestead
เวอร์ชั่นที่สองของ Ethereum ที่จะเน้นการพัฒนา protocol ต่างๆซึ่งการอัพเกรดนี้ก็พึ่งจบไปได้ไม่นานนัก
Metropolis
การอัพเกรดขั้นที่สามของ Ethereum ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเป็นการปูทางให้กับระบบ Proof of stake ในส่วนอัพเกรด Casper โดยจะถูกแบ่งออกเป็นสองช่วงซึ่งก็คือ Byzantium และ Constantinople และยังมีการสร้างอินเทอร์เฟสใหม่ซึ่งจะทำให้นักพัฒนาสามารถนำระบบไปพัฒนาง่ายขึ้น รวมถึงการอัพเกรดโปรโตคอลอีกหลายอย่าง ซึ่งตอนนี้เรากำลังอยู่ในส่วนนี้
Serenity
ส่วนสุดท้ายของการอัพเกรดซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นในต้นปี 2018 โดยเป้าหมายคือการเปลี่ยนจาก Proof of work เป็น Proof of stake โดยใช้ Casper
ซึ่งเจ้าผีน้อยน่ารัก Casper นี้คืออะไร? มันคือการอัพเกรดของ Ethereum ทีจะค่อยๆเปลี่ยนจาก Proof of work ไปเป็น Proof of stake แต่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นในทันที โดย Casper จะเริ่มถูกติดตั้งในตอนปลายของ Metropolis ซึ่งก็น่าจะเป็นช่วงปลายปี 2017 หรือต้นปี 2018 และจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป นั่นหมายความว่าระบบจะยังเป็น Proof of work ควบคู่ไปกับ Proof of stake จนมันกลายเป็น Proof of stake เต็มตัว
ทำไมต้องเปลี่ยนเป็น Proof of stake
Proof of work เป็นรูปแบบการทำงานของเงินดิจิตอลส่วนใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกับดีว่ามันเริ่มมาจาก Bitcoin ซึ่งเป็นวิธีการยืนยันธุรกรรมโดยใช้กำลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ วิธีนี้มีข้อดีคือระบบจะเข้มแข็งมากหากมีกำลังประมวลผลที่มาก เพราะการจะครอบครองกำลังขุดเกิน 51% นั้นต้องใช้ Cost มหาศาลและเป็นไปได้ยากในทางปฎิบัติรวมถึงรูปแบบการให้รางวัลที่เป็นแรงจูงใจให้ระบบมีกำลังขุดที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาเรื่องพลังงาน
ทุกวันนี้ในการผลิต Bitcoin หรือ Ethereum นั้นใช้พลังงานที่มหาศาลมากและสิ้นเปลืองสุดๆ ใช้พลังงานพอๆกับประเทศเล็กๆบางประเทศ ซึ่งในระยะยาวเพื่ออนาคตของระบบเงินดิจิตอลหากมันบานปลายเรื่อยๆพลังงานที่เสียไปจะมีมหาศาลแน่นอน
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
51% Attack
ในระบบของ Bitcoin นั้นการจะทำการโจมตี 51% ให้สำเร็จนั้นต้องใช้ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมากๆ จนในทางปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลย และในเงินดิจิตอลสกุลอื่นๆที่ยังมีกำลังประมวลผลน้ออยู่นั้นนี่เป็นเรื่องที่นักพัฒนาวิตกกังวลกันมาก
Casper Proof of stake
และเมื่อผู้ที่มีส่วนร่วมใน Ethereum เห็นพ้องต้องกันจึงได้มีโครงการ Casper ที่เป็น Proof of stake ขึ้นมาโดยมีรายละเอียดดังนี้
ในการที่จะเป็น Validator หรือตามที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นผู้ขุดนั้นเราจะต้องมี Eth ถึง 1000 Eth และส่งมันไปให้กับระบบของ Casper หลังจากนั้นคนที่ส่งไปจะได้รับสิทธิเป็น Validator โดยตัว Validator นี้จะมีสิทธิสองแบบได้แก่
- Prepare
- Commit
โดยผู้ที่เป็น Validator นั้นต้องเลือกว่าจะใช้สิทธิเเบบใดแค่อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าสิทธิที่ได้นี้จะมีน้ำหนักมากน้อยในระบบก็ขึ้นอยู่กับจำนวน Eth ที่วาง stake ไว้
นั้นหมายความว่าระบบการ Validate ของ Casper นั้นจะมี 2 ครั้งนั้นคือ Prepare กับ Commit และระบบของ Casper นั้นจะคอยจัดการ Validator คนใดก็ตามที่คิดจะโกงให้ออกไปจากระบบ ซึ่งระบบ Consensus ของ Casper จะเป็นรูปแบบ 2 ขั้นใน Blockchain
Prepare
ในขั้นตอนของการ Prepare นั้นจะเป็นการเลือกกล่องธุรกรรมที่มีสถานะเป็น Pending โดย Validator ผ่านการโหวตแล้วเมื่อกล่องนั้นได้รับ Eth เป็นจำนวน 2/3 ของ Eth ที่ stake ไว้กล่องจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็น Prepare
Commit
หลังจากที่กล่องธุรกรรมกลายเป็น Prepare จะถูก Commit โดย Validator อีกทีนึงเป็นการปิดกล่องโดยจะมีการโหวตอีกครั้งนึงและส่งไปยัง Blockchain
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
สรุป
การเปลี่ยนเป็น Proof of stake ของ Casper นั้นจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงช่วงปลายปี 2017 และเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะเป็นการเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่เปลี่ยนทันที และในการทำ Proof of stake นั้นบางคนอาจจะห่วงว่าเรามี Eth ไม่ถึง 1,000 จะขุดไม่ได้แต่ไม่ต้องห่วงเพราะมันจะเป็นระบบคล้ายๆ Mining pool ที่เราจะสามารถเอา ETH ที่เรามีไป stake กับคนอื่นได้ ซึ่ง Casper นั้นถูกสร้างมาเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวเรื่องพลังงานและการโจมตี 51%
แต่ในระยะสั้นก็ไม่สามารถตอบได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาของ Ethereum มันอาจจะขึ้นจากการนำไปใช้และระบบที่ดีมากขึ้น หรือมันอาจจะเกิดการ Panic เนื่องจากมีบางคนมองว่าการมีค่า Diff ที่ลดลงจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลงและราคาควรจะตก แต่ในระยะยาวนั้นมันเป็นอนาคตแน่นอน
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น