<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ทีมนักพัฒนา Bitcoin Classic ประกาศปิดตัว เนื่องจากความสำเร็จของ Bitcoin Cash

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นักพัฒนากลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง “Bitcoin Classic” ที่คิดเป็น 1% ของ node Bitcoin ทั้งหมดประกาศว่าพวกเขาจะไม่รองรับการสนับสนุน software ดังกล่าวอีกต่อไป โดยเคลมว่า protocol ตัวอื่นนั้นประสบความสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาหวังจะให้มีขึ้นแล้ว

โดยอ้างอิงจากบล็อกของนักพัฒนา นาย Tom Zander ออกมาประกาศเมื่อวานนี้ เกี่ยวกับการระงับการ hard fork ของ SegWit2x ในสัปดาห์นี้ โดยเขาเชื่อปัญหาด้านการ scaling ของ Bitcoin จะยังคงมีต่อไป และฟังชันของ Bitcoin Cash จะสามารถนำหน้าของ Bitcoin ไปได้ โดยเขากล่าวว่า

“ในอีก 6 เดือนเราจะเอาคำว่า Cash ออกและเรียกมันว่า Bitcoin”

โปรเจค Bitcoin Classic เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2016 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการประมวลผลธุรกรรมของ Bitcoin โดยเพิ่มขนาดบล็อกจาก 1MB เป็น 2MB อย่างไรก็ตาม พวกเขาล้มเหลวที่จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้งาน cryptocurrency ทั่วโลก ในขณะเดียวกัน node ของ Bitcoin Classic ที่ก่อนหน้านี้เคยมีถึง 2,000 ตัวทั่วโลก และคิดเป็นหนึ่งในสามของ Bitcoin ทั้งหมด ภายหลังลดลงเหลือแค่ 1% ของเครือข่ายทั้งหมดเท่านั้น

ในขณะนี้ Bitcoin Cash ที่มีการเพิ่มขนาดบล็อกถึง 8MB และสามารถขยายได้เองนั้น ทางนักพัฒนา Bitcoin Classic กล่าวว่า “Classic ได้บรรลุคำสัญญาแล้ว”

เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางทีมนักพัฒนา SegWit2x ได้ออกมาประกาศว่าพวกเขาจะระงับการ hard fork เนื่องจากว่าไม่อยากสร้างความขัดแย้งในชุมชนของ Bitcoin ให้มากไปกว่านี้

และด้วยการตัดสินใจของนักพัฒนาดังกล่าว นาย Zander เขียนลงในบล็อกว่า ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลัง “เชนหลัก” (ซึ่งถือเป็น Blockchain ของ Bitcoin) “จะต้องอัปปางจมลงไปพร้อมๆกับเรือของพวกเขา” ถ้าหากไม่อัพเกรดซอฟต์แวร์ของพวกเขาเพื่อรองรับธุรกรรมที่กำลังมีมากขึ้น

ดังนั้น เขากล่าวว่า Classic จะทำการปิดตัว “ในอีกประมาณไม่กี่วัน หรือสัปดาห์” พร้อมเตือนให้นักขุดและผู้เปิด node ที่กำลังให้การสนับสนุนพวกเขาอยู่ตอนนี้ย้ายไปสนับสนุน Bitcoin Cash แทน

เมื่อช่วงกลางปีนี้ เครือข่าย Bitcoin ได้ทำการเปิดใช้โซลูชันที่เรียกว่า SegWit ที่สามารถช่วยประมวลผลธุรกรรมในเครือข่ายให้มากขึ้นด้วยเทคนิคการบีบอัด และไม่มีการเพิ่มขนาดบล็อก อีกทั้งยังเป็นการเปิดทางไปสู่โซลูชันด้าน off-chain อื่นๆ อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากการอัพเดตดังกล่าวดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีผลต่อเครือข่ายของ Bitcoin แม้แต่น้อย จนทำให้ผู้คนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้มเหลวดังกล่าว

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

นาย Zander ยังกล่าวว่าความล้มเหลวของ Bitcoin ในการเพิ่มขนาดบล็อกนั้นก็ไม่ต่างจากการ “คอนเฟิร์มความสำเร็จของ Bitcoin Cash” โดยเขาสรุปปิดท้ายว่า “ตลาดจะเป็นผู้ตัดสิน”

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น