<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Delegated Proof of Stake ประชาธิปไตยใน CryptoCurrency

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Consensus เป็นคำที่นิยามถึงการที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยอมรับในวิธีการหรือกฏเกณฑ์อะไรอย่างหนึ่งร่วมกัน ซึ่งมันเป็นคำที่ถูกนำมาใช้ในระบบ Decentralized ที่ไม่มีตัวกลางอย่างธนาคารในเงินดิจิตอลส่วนใหญ่ เพราะหากไม่มีตัวกลางที่คอยควบคุมแล้วจึงต้องมีวิธีการใดวิธีหนึ่งที่ทุกคนจะเห็นพ้องต้องกันได้ซึ่งระบบนี้ก็มีรูปแบบมากมายแตกต่างกันไป

Proof of work คือรูปแบบการขุดหรือยืนยันธุรกรรมในระบบ Decentralized ของเงินดิจิตอลต่างเป็นที่รู้จักกันดีในระบบของ Bitcoin โดยมันใช้กำลังประมวลในการแก้ไขโจทย์ของธุรกรรมเพื่อให้ผู้ที่อยากได้รับรางวัลบล็อกธุรกรรมนั้นแข่งกันแก้โจทย์ แต่ระบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียทีเดียวเนื่องจากการแก้ไขโจทย์นั้นต้องใช้กำลังไฟฟ้าที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวันที่เขียนบทความนี้กำลังไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในระบบของ Bitcoin นั้นใช้พลังงานพอ ๆ กับกาตาร์ทั้งประเทศทำให้ผู้คนมองว่าในระยะยาวมันจะไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก

ซึ่งก็ได้มีแนวคิดของ Proof of stake เกิดขึ้นโดยแทนที่จะให้คนที่ยืนยันใช้อุปกรณ์ที่เปลืองพลังไฟฟ้าเปลี่ยนมาเป็นการวางเงินค้ำประกันแทน โดยเงินคำประกันก็เหมือนกำลังขุดซึ่งก็แปลว่าใครที่วางเงินจำนวนมากก็จะมีสิทธิได้รับรางวัลในการช่วยทำธุรกรรมมากขึ้น

แต่ก็มีอีกแนวคิดหนึ่งที่หนึ่งที่แตกแยกออกมาเพิ่มมันมีชื่อว่า Delegated Proof of Stake ถูกคิดค้นโดยนาย Daniel Larimer ผู้เป็น Ceo ของ Bitshare มันถูกใช้ที่แรกใน Bitshare ซึ่งแทนที่จะให้ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าหรือวางเงินค้ำประกันมันได้เปลี่ยนแนวคิดมาเป็นการโหวตแทน โดยผู้ที่สนใจอยากจะมีส่วนร่วมในระบบสามารถตั้งตัวเองขึ้นมาเป็น พยาน (Witness) และอนุญาติให้คนลงความเห็น (Delegated) ได้ว่าอยากจะให้คนๆนี้เป็นคนดูแลระบบหรือไม่ ซึ่งจะค่อนข้างคล้าย ๆ กับการเลือกตั้งเลือกผู้แทนเข้าไปดูแลในระบบ โดยพยานเหล่านี้จะเป็นคนที่คอยควบคุมการตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมดรวมถึงการสร้างบล็อกใหม่ ๆ ในการทำธุรกรรมด้วย เหมือนกับนักขุดเหรียญในระบบ Proof of work

ฟัง ๆ ไปแล้วอาจจะรู้สึกว่าแบบนี้มันก็กลายเป็น Centralized อีกแล้วหนะสิแต่มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปเพราะ Witness นี้จะไม่ได้มีแค่คนเดียวอาจจะมี 10 50 100 แล้วแต่การออกแบบระบบ รวมถึงการที่จะโหวตนั้นผู้โหวตสามารถเลือกคนที่อยากจะควบคุมระบบได้มากกว่า 1 คนอาจจะเป็น 10 20 30 แล้วแต่การออกแบบระบบ และสามารถเปลี่ยนการโหวตเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจชอบ นั้นเท่ากับว่าถ้าผู้ใช้ระบบเริ่มรู้สึกว่ามีพยาน (Witness) คนไหนก็ตามเริ่มมีท่าทีแปลกๆหรือมีความสามารถและอุปกรณ์ไม่พอที่จะควบคุมระบบก็สามารถเปลี่ยนแปลงการโหวตได้ตามใจชอบ

ทีนี้ปัญหาก็ตกเป็นของกลุ่มคนที่จะเป็น Witness แล้วเหมือนการเลือกตั้งเลยแหละ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มคนที่จะได้รางวัลในการทำธุรกรรมทั้งหมดของระบบ เพราะฉะนั้นจึงได้มีการหาเสียงเกิดขึ้นโดยอย่างในระบบของ Lisk ที่ใช้ DPOS นี้ผู้ที่อยากจะเป็น Witness จะต้องไปโพสสร้างความน่าเชื่อถือลงในคอมมูนิตี้ว่าตัวเองเป็นใคร ซึ่งนี่เป็นส่วนที่น่าสนใจมากเหมือนการหาเสียงและสร้างนโยบายต่าง ๆ เพื่อให้คนเชื่อถือสิ่งที่ Witness จะประกาศแก่ผู้อื่นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือก็เช่น

  • ตัวเองเป็นใครทำอะไรมาก่อนมีประสบการณ์อะไรทำไมถึงน่าเชื่อถือ
  • อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่นำมารันnode ของระบบนั้นเป็นอย่างไรบ้างมี Infrastructure ภายในและการออกแบบระบบเป็นอย่างไร
  • จะแบ่งรายได้ที่ตัวเองได้ให้กับผู้ที่สนับสนุนตัวเองอย่างไรบ้าง
  • อย่างอื่นที่น่าสนใจเช่น การสร้าง Story ว่าตัวเองจะพัฒนาระบบไปทางไหนหรือแนวทางที่คน ๆ นั้นจะทำหรือนำเสนอให้ระบบดีขึ้นหรือทำให้เหรียญนั้นมีมูลค่ามากขึ้น

โดยผู้ที่อยากจะโหวต (Delegated) ก็ต้องมีเงินจำนวนหนึ่งมาค้ำประกันการโหวตของตัวเองและจะได้รายได้ที่ขึ้นกับว่าคนที่เราโหวตนั้นได้ไปติดอยู่ในอันดับของผู้ที่จะเป็น Witness หรือเปล่าเช่นในระบบของ Lisk จะมี Witness เป็นจำนวน 101 คนนั้นหมายถึง 101 อันดับแรก และได้ส่วนแบ่งตามสัดส่วนตามเงินที่ลงไป

ด้วยวิธีนี้เราจะสามารถสร้างความแตกต่างแก่ระบบมากเพราะว่าในระบบ POS หรือ POW ผู้ที่จะมาทำให้ระบบดีขึ้นนั้นจะต้องเป็นอาสาสมัครหรือผู้ที่ได้ผลประโยชน์ทางอ้อม อย่างการที่นักพัฒนาถือเหรียญไว้จำนวนมาก ด้วยวิธีนี้จะทำให้ผู้ที่จะมาควบคุมระบบสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลารวมถึงความพยายามอื่น ๆ ที่น่าสนใจให้ระบบดีขึ้นเช่น

ในระบบของ Lisk มี Witness คนหนึ่งหาเสียงโดยการสร้าง Channal Youtube ขึ้นมาเพื่อสอนเรื่องระบบแก่คนอื่น ๆ และโปรโมทเหรียญ

หรือแม้กระทั่งว่าคนที่คิดจะทำอะไรเพื่อเป็นการทำให้เหรียญมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

ใน Steemit มีกลุ่มคนที่ตั้งตัวเป็นผู้ดูแล Community ที่ชื่อว่า Steemcleaner คอยดูแลว่ามีคนโพสเนื้อหาหรือบทความที่ผิดกฎหมายหรือเปล่า

ด้วยระบบนี้จะเป็นการทำให้กลุ่มชุมชนนั้นเข้มแข็งขึ้น เพราะถ้าเราอยากให้เหรียญที่เราถือมีมูลค่า มันไม่ใช่แค่ว่าเราไปโหวตให้กับคนที่จ่ายให้กับเรามากที่สุดเท่านั้นพอ แต่เราต้องคำนึงถึงว่าการที่เราโหวตให้ Witness แล้วพวกเขาจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับระบบเพื่อให้ก่อเกิดมูลค่าต่อเหรียญอีกบ้าง เหมือนกับการเลือกตั้งที่ไม่ใช่แค่ว่าเราเลือกผู้แทนที่มีนโยบายบายประชานิยมให้ประโยชน์แก่เราก็พอแล้ว เราต้องดูว่าเค้าสามารถทำให้ประเทศดีขึ้นไปอีกได้หรือไม่

ข้อดีที่สำคัญที่สุดของ DPOS คือมันสามารถลดต้นทุนของธุรกรรมและ Network bandwidth อย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับ Proof of work และเมื่อเทียบกับ Proof of stake ก็ยังเร็วกว่าเพราะมันตัดขั้นตอนที่ผู้คนต้องแย่งกันเป็นผู้ยืนยันธุรกรรมที่หาผู้ชนะมาเป็นการโหวตแทนจึงทำให้ไม่ต้องเสียต้นทุนในส่วนนี้ไป

แต่แน่นอนว่าด้วยระบบนี้ก็มีข้อถกเถียงกันว่าเสี่ยงต่อ การโจมตี 51% ซึ่งเป็นจุดอ่อนของระบบ Decentralized ทุกประเภทแต่ถ้าเรามองอีกแง่คือการที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงผู้ควบคุมระบบได้ทุกเมื่ออาจจะทำให้มันเป็นความปลอดภัยอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้

สรุป

Delegated Proof of Stake เป็นเพียงวิธีหนึ่งในการทำ Consensus (การลงความเห็นร่วมกันใน Blockchain) นอกจากนี้มันยังมีวิธีอื่นอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Proof of work, Proof of stake, Proof of importance แต่วิธีนี้เราจะเห็นข้อดีที่มันจะเป็นการผลักดันให้ผู้ที่ควบคุมนั้นพยายามสร้างประโยชน์แก่กลุ่มชุมชนโดยรวมและสามารถยกระดับให้มีเเข่งขันกันสร้างสิ่งที่ดีขึ้น ในปัจจุบันระบบที่ใช้อัลกอริทึ่มดังกล่าวนี้ได้แก่ Bitshare, Arkk, Lisk, Steem, EOS เท่านั้นซึ่งนับว่ายังไม่มากเท่าไหร่และในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเหรียญใหม่ๆที่สร้างโดยวิธีนี้มากขึ้น

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น