Goldman Sachs กล่าวว่า Bitcoin จะเป็นฟองสบู่ที่ใหญ่กว่าฟองสบู่ยุค Dot-Com และฟองสบู่ทิวลิปเสียอีก
ในจดหมายการวิจัยที่ส่งถึงนักลงทุนนั้น นักวิเคราะห์ของธนาคารได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของมูลค่า Cryptocurrency โดยเน้นไปที่ราคาของ Bitcoin และ Ethereum รวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Blockchain
หนึ่งในตัวอย่างก็คือบริษัท The Crypto ที่เห็นได้ว่าราคาหุ้นของมันได้พุ่งขึ้นสูงถึง 17,000% ก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) จะระงับการซื้อขาย
โดยผู้เขียนกล่าวว่า ความบ้าคลั่งนี้เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ เนื่องจาก Cryptocurrency ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยวัดจากมูลค่าทางตลาดอย่าง Bitcoin นั้นไม่ได้ทำหน้าที่อย่างที่มันควรจะได้ทำ
ในรายงานได้กล่าวว่า:
“พวกเราคิดว่าแนวคิดของสกุลเงินดิจิตอลที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain นั้นสามารถให้คุณค่าและประโยชน์ได้: มันสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม, ลดการทุจริตเนื่องจากธุรกรรมทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้, ปลอดภัยในการเป็นเจ้าของและ อื่น ๆ แต่ Bitcoin ไม่ได้ให้สิ่งเหล่านี้เลย”
โดยในรายงานกล่าวว่า การทำธุรกรรมผ่าน Bitcoin ต่อครั้งอาจใช้เวลาถึง 10 วันในการประมวลผล และมูลค่าของ Bitcoin ก็จะเปลี่ยนแปลงตามเว็บเทรดที่ผู้ใช้ได้ทำธุรกรรมอีกด้วย โดยเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ราคา Bitcoin ของเว็บเทรดแต่ละเว็บมีความแตกต่างกันมากกว่า 4,000 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าผู้ใช้อาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น 31% สำหรับการซื้อขาย Bitcoin บนเว็บเทรดหนึ่ง
ในรายงานระบุว่าต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูงนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม แม้ Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ จะมีภาวะเงินเฟ้อหรือจะฟองสบู่แตกในอนาคตก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หรือเศรษฐกิจโลกแม้แต่น้อย อ้างอิงจากรายงาน
เงินสกุล Crypto นั้นนับเป็นเพียงเศษเสี้ยวของ GDP ของสหรัฐ (3.2%) และ GDP ของโลก (0.8%) ในขณะที่ฟองสบู่ Dot-Com นั้นมีสัดส่วนที่เยอะกว่ามาก โดยเทียบกับ GDP ของสหรัฐเท่ากับ 101% และ GDP ของโลกที่ 31% ตามลำดับ
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น