แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเกินกว่า 9 ปีนับตั้งแต่การถือกำเนิดขึ้นของเหรียญ cryptocurrency ตัวแรกของโลกอย่าง Bitcoin และเทคโนโลยี Blockchain แต่คำวิพากษ์วิจารณ์นั้นก็มีมามากกว่า 250 ครั้ง (ยังไม่รวมคำวิพากษ์วิจารณ์อื่น ๆ ทั่วโลกอีก) อ้างอิงจากเว็บ 99 Bitcoins แต่ดูเหมือนว่าล่าสุดนี้ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินระหว่างประเทศไทยในไทยกำลังจะมาช่วยเพิ่มตัวเลขในลิสนั้นให้เยอะขึ้นแบบไม่เป็นทางการ
นายทวีสุข ธรรมศักดิ์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจาก Mthai โดยเขาให้ความเห็นว่า Bitcoin นั้นคือ ‘เหรียญปีศาจ’ โดยเขานั้นเชื่อว่าเทคโนโลยีดังกล่าวถูกควบคุมโดยระบบการเงินที่อยู่เบื้องหลังที่เรียกว่า deep state หรือรัฐบาลเงา และแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าซาโตชิ นาคาโมโตะเป็นใคร แต่ deep state ทีว่านี้เคยถูกกล่าวถึงโดยนาย โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่บ่อย ๆ แม้ว่าหลาย ๆ คนจะเชื่อว่านี่คือ conspiracy theory หรือทฤษฎีสมคบคิดก็ตาม
นายทวีสุข เชื่อว่า Bitcoin นั้นจะเป็นเหมือนกับวิกฤตฟองสบู่ดอกทิวลิปที่เคยเกิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 16 โดยในขณะนั้นผู้คนต่างก็กำลัง ‘บ้าคลั่ง’ ในการเก็งกำไรดอกทิวลิปจนทำให้ราคาของดอกดังกล่าวนั้นพุ่งขึ้นไปกว่า 10 เท่า แม้ว่าความแตกต่างของดอกไม้กับเทคโนโลยี blockchain นั้นจะเป็นคนละเรื่องเลยก็ตาม
ก่อนหน้านี้ธนาคาร Goldman Sachs ก็เคยได้ออกมาแสดงความเห็นในลักษณะเดียวกัน โดยเน้นย้ำไปที่ฟองสบู่ดอทคอม และฟองสบู่ทิวลิป ในขณะที่หลาย ๆ คนก็มองว่าการนำสองสิ่งนี้มาเปรียบเทียบกันนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก เนื่องจากว่าดอกทิวลิปนั้นเป็นดอกไม้ที่นำไปใช้เพื่อประดับและความสวยงาม ในขณะที่เทคโนโลยี blockchain นั้นสามารถนำไปใช้ต่อยอดอย่างอื่นได้มากมาย
เหรียญปีศาจจริงหรือ?
ราคาของ Bitcoin นั้นได้พุ่งขึ้นมาสูงอย่างมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา หลังจากขึ้นไปแตะ 1,000 ดอลลาร์เมื่อช่วงปีใหม่ของ 2017 ราคาก็ได้เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนไปแตะ 19,000 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2017 ส่งผลทำให้มีนักลงทุนจากหลาย ๆ สถาบันกระโดดเข้ามาลงทุนในเหรียญดิจิตอลดังกล่าวมากมาย อีกทั้งยังปลุกกระแสการระดมทุนผ่าน ICO ที่เริ่มเป็นที่นิยมแล้วทั้งในหมู่บริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในไทยอีกด้วย
ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ Bitcoin ได้รับความนิยมในช่วงปีที่ผ่านมานั้นเกิดจากการที่ี่ปุ่นได้ริเริ่มออกกฎหมายทำให้ Bitcoin มีสถานะถูกกฎหมายในเมื่อช่วงเดือนเมษายนของปี 2017 ที่ผ่านมา ประกอบกับการเปิดตลาดฟิวเจอร์ของสองผู้ให้บริการอย่าง Cboe และ CME เมื่อไม่นานมานี้ จึงทำให้นักลงทุนนั้นต่างก็ให้ความสนใจมากมาย
อีกหนึ่งปัจจัยนั้นก็คงหนีไม่พ้นลักษณะธรรมชาติของเทคโนโลยี Blockchain ที่ทำให้ Bitcoin สามารถโอนเงินส่งหากันได้ในระดับนาที ซึ่งความรวดเร็วนี้จึงทำให้การซื้อขายนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิดความผันผวน แตกต่างจากสินค้าแบบดั้งเดิมอย่างน้ำมันหรือทองคำ ที่จะต้องใช้เวลาในการขนและเคลื่อนย้าย
แม้ว่านักวิเคราะห์จะพยายามค้นหาทฤษฎีมาตัดสิน Bitcoin และ cryptocurrency มากขนาดไหน เมื่อไม่นานมานี้ผู้ว่าฯของธนาคารกลางมาเลเซียออกความเห็นว่าทางธนาคารจะไม่แบน cryptocurrency แต่จะให้ประชาชนนั้นคือผู้ตัดสินเทคโนโลยีดังกล่าวเอง ว่าพวกเขาจะใช้มันหรือไม่
“ในการทำแบบนี้ ประชาชนสามารถที่จะตัดสินได้ด้วยตัวของพวกเขาเองว่าพวกเขาต้องการที่จะลงทุนใน Cryptocurrency หรือไม่”
กล่าวโดยนาย Muhammad Ibrahim
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น