นาย Julian Hosp ผู้ร่วมก่อตั้ง TenX หรือผู้ให้บริการด้านบัตรเดบิต Bitcoin ได้เขียนบทความให้กับ CNBC ที่มีชื่อว่า “5 เหตุผลที่ปี 2018 อาจเป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับ Cryptocurrency” โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องโอกาสที่ฟองสบู่ Cryptocurrency อาจจะแตกได้ในปี 2018 แต่เขาก็ต้องการที่จะอธิบายถึงปัจจัยด้านบวกของ Bitcoin จึงได้เขียนบทความนี้
โดยเขาได้เขียนเกริ่นในบทความว่า “ในบทความชิ้นก่อนที่ผมได้เขียนให้ทาง CNBC ผมได้อธิบายถึงสาเหตุที่ฟองสบู่เงินคริปโตอาจแตกได้ในปี 2018 หลายคนจึงได้ถามผมต่อในภายหลังว่าผมจะลงทุนในเงินคริปโตไปทำไม ถ้าผมเคลือบแคลงกับวงการนี้นัก?”
นาย Julian ได้อธิบายว่าเขา “เป็นคนที่ต้องทำการคำนวณโอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งด้านบวกและด้านลบอยู่เสมอ” และกล่าวต่อว่า “ผู้คนจำนวนมากกำลังเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ด้วยการลงทุนมากเกินไป หรือไม่ก็น้อยเกิน เพราะไม่ได้ทำการวิเคราะห์อย่างเหมาะสม”
เขาได้อธิบายถึง 5 เหตุผลที่ปี 2018 อาจเป็นปีที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับ Cryptocurrency และเหตุผลที่เขาลงทุนกับมัน ดังนี้
การดำเนินการแก้ไขปัญหา Scaling
เขากล่าวว่า Bitcoin (BTC) นั้นเป็น Cryptocurrency ที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะเงินสกุลหลักต่าง ๆ (fiat currency) ที่ไหลเข้าออกในตลาดคริปโตนั้นล้วนต้องผ่าน Bitcoin ก่อนกันแทบทั้งนั้น ดังนั้นเหตุการณ์ใดก็ตามที่ส่งผลกับ “ต้นแบบแห่ง Cryptocurrency” นี้ ก็จะกระทบกับทั้งตลาดด้วย
“ในตอนนี้ Bitcoin นั้นครอบครองตลาดคริปโตถึง 40% และจากการคำนวณของผม มันจะกลับขึ้นมาครอบครองถึง 75% อย่างแน่นอน”
“ผมยังคิดว่าราคาของ Bitcoin จะขึ้นถึง 150% สำหรับปี 2018 อีกด้วย เพราะในตอนนี้ BTC ยังคงมีอิทธิพลต่อตลาด Cryptocurrency ด้วยความที่มันมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและมีมูลค่ามากที่สุดในตลาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันก็ยังต้องแก้ปัญหาการ Scaling เพื่อที่จะทำให้มันสามารถถูกใช้งานในวงกว้างขึ้นได้”
นาย Julian ได้อธิบายเกี่ยวกับปัญหาด้าน Scaling ดังนี้:
“ในตอนนี้ Bitcoin สามารถทำธุรกรรมได้เพียง 6-7 ธุรกรรมต่อวินาที (หรือ 12-14 สำหรับ SegWit) เมื่อเทียบกับบัตรเครดิตที่สามารถทำธุรกรรมได้ถึง 1,000 ธุรกรรมต่อวินาที คำวิพากษ์วิจารณ์ต่อความสามารถการทำงานแบบ large-scale ของ Bitcoin จึงเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ และปัญหาเรื่อง Scalability นี้ยังทำให้ค่าธรรมเนียมสูงอีกด้วย
แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไรกัน? วิธีการแก้ปัญหานี้ก็คือ การนำเครือข่าย second-layer นอก Blockchain (off-chain) มาใช้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Lightning Network ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Blockstream และระบบ Lightning Network นี้จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมนอก Blockchain ซึ่งจะทำให้ค่าธุรกรรมลดลงเหลือแทบเป็นศูนย์ และยังเพิ่มความเร็วรวมถึง scalability ให้มากยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูจากแผนที่นี้ ก็จะเห็นได้ว่ามีการสร้าง nodes และช่องทาง (channels) เพิ่มขื้นอยู่เรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วอีกด้วย”
เขากล่าวว่า อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจำนวนธุรกรรมและการใช้ Bitcoin ผ่านช่องทางนอก Blockchain นี้จะเพิ่มขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัด
“มากไปกว่านั้น Lightning Network ก็ไม่มีค่าธรรมเนียมใด ๆ เลยทั้งสิ้น”
ทั้งหมดนี้ก็หมายความว่า เครือข่ายดังกล่าวนั้นจะสามารถแก้ไขปัญหาที่ Bitcoin กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ นั่นก็คือ เรื่อง scalability และการขาดสภาพคล่อง และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ว่าทำไมมูลค่า Bitcoin ถึงอาจจะพุ่งขึ้นได้ในอนาคต
ทั้งนี้ เมื่อช่วงท้ายปี 2017 เขาได้ทำนายไว้ว่ามูลค่าของ Bitcoin จะร่วงลงไปแตะที่ 5,000 ดอลลาร์แต่มันมีโอกาสที่จะปีนขึ้นไปถึง 60,000 ดอลลาร์ด้วยเช่นกัน และ Lightning Network จะมีบทบาทที่สำคัญต่อการทำให้ราคา Bitcoin กลับมาสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
เขายังได้กล่าวถึงอีกโครงการเกี่ยวกับการสร้างเครือข่าย second-layer นามว่า Rootstock ซึ่งเป็นโครงการที่จะมุ่งเน้นสร้างให้ระบบของ Bitcoin สามารถทำการคำนวณในแบบเดียวกันกับการคำนวณของ Ethereum ได้
เขาได้สรุปเกี่ยวกับปัจจัยแรกสำหรับการเติบโตดังนี้:
“โปรเจ็กต์ที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้สามารถทำให้ราคาของ BTC เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ผมกล้ารับประกัน 60% ถึง 70% เลย ว่าราคาของมันจะเพิ่มขึ้น 100% หรืออาจจะสูงกว่านั้นอีกก็ได้”
ปีนี้จะมี ICO ที่ถูกต้องตามกฎหมายและขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น
นาย Julian กล่าวว่า เมื่อปีที่แล้ว การระดมทุน ICO ต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อ Ethereum network เพราะมันใช้ Ether เป็นจำนวนมาก และนั่นก็ทำให้ความต้องการเหรียญดิจิตอล Ether เพิ่มสูงขึ้น และเมื่อมี ICO ที่ถูกต้องตามกฎหมายเปิดตัวเพิ่มขึ้น Ether ก็จะได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย เหมือนกับพวก ICO พันล้านดอลลาร์ของ Telegram รวมถึง Kodak
“นั่นก็หมายความว่าพวกเราอาจได้เห็นการเพิ่มขึ้นในมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ของ Ethereum จาก 90,000,000,000 ดอลลาร์ ในวันพุธที่ผ่านมาสู่ 200,000,000,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ และมูลค่าของเหรียญมันอาจเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าเป็น 2,000 ดอลลาร์แทนได้”
แม้ว่าราคาเหรียญสกุลอื่นก็อาจสูงขึ้นได้ด้วยเช่นกัน แต่นาย Julian กล่าวว่า Ethereum น่าจะเป็นเหรียญตัวหลักที่น่าจับตามองมากที่สุด
กฎหมายควบคุม
“หลายคนเชื่อว่ากฏหมายควบคุมนั้นจะส่งผลเสียต่อตลาด แต่นั่นเป็นเพียงการมองการณ์ใกล้เท่านั้น ในระยะยาว กฏต่าง ๆ จะทำให้ผู้ใช้รวมถึงผู้ลงทุนสถาบันมีความมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น”
เขาได้อ้างถึงประเทศญี่ปุ่นที่ได้เริ่มทำการควบคุม Bitcoin โดยชี้ว่าในช่วงแรกราคาของตลาดร่วงลงแต่ต่อมามันก็เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับที่ออสเตรเลีย
ซึ่งเขาคาดว่าประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้ ก็น่าจะออกกฏเกณฑ์การควบคุมด้านคริปโตตามมาเช่นกัน และผลกระทบต่อตลาดก็จะเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นและออสเตรเลีย
การใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น
“มี Start-up มากมายหลายแห่ง เช่นเดียวกับของผม ที่สร้างบัตรเดบิตเพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถใช้จ่ายด้วย Cryptocurrency ของตนเอง… นั่นก็แปลว่าจำนวนผู้ใช้งานและผู้จำหน่ายที่ยินดีรับชำระด้วยคริปโตมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับปี 2018”
เขากล่าวว่านั่นจะทำให้ Cryptocurrency มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นสำหรับบริษัทต่าง ๆ ด้วย
นักลงทุนสถาบัน
เขากล่าวว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่ปี 2018 นั้น จะเป็นปีที่รุ่งเรืองสำหรับ Cryptocurrency ก็คือ ปีนี้เป็นปีแรกที่เงินจากกลุ่มสถาบันได้หลั่งไหลเข้ามาสู่ตลาดนี้
“จนถึงวันนี้ มีเงินจากสถาบันประมาณ 10,000,000,000 ถึง 12,000,000,000 ดอลลาร์ที่ได้หลั่งไหลเข้าสู่ตลาด Crypto ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่สถาบันสามารถนำมาลงทุนได้แต่ก็สามารถทำให้ market cap นั้นพุ่งไปถึง 500,000,000,000 ดอลลาร์ ดังนั้นเงินลงทุนอีกหมื่นล้านดอลลาร์ต่อไป (ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนน้อยนิดสำหรับบางกองทุน) ก็คงทำให้ market cap เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าได้“
สรุป
นาย Julian กล่าวว่า แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรับประกันได้ 100% ว่าปัจจัย 5 อย่างทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจริง แต่เขาก็ยังเห็นว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ถึง 70% ถึง 75% และปัจจัยแต่ละข้อก็อาจทำให้ขนาดของตลาดโตขึ้น 50% ถึง 100% หรือกระทั่ง 200% เลยทีเดียว
“เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมารวมกันแล้ว มูลค่าตลาดน่าจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น 7 ถึง 8 เท่าจากระดับในปัจจุบัน แม้จะไม่เพิ่มขึ้นสูงเท่ากับในปี 2017 แต่มันจะเป็นการเติบโตด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และไม่ได้มาจากการปั่นกระแส นั่นก็จะสามารถทำให้ปี 2018 นั้น เป็นปีที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดสำหรับ Cryptocurrency เท่าที่เคยมีมา”
แต่อย่างนั้น เขาก็ได้เตือนผู้อ่านให้ระวัง “อย่ามองแต่เพียงด้านบวกด้านเดียว” และควรศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น