<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สิ่งไหนบ้างที่นักลงทุน Bitcoin จะสามารถเรียนรู้จากพ่อมดแห่งการเงิน George Soros

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

อ้างอิงจากที่ Siam Blockchain ได้เคยรายงาน มหาเศรษฐีนาม George Soros กำลังจะเข้ามาลงทุนในวงการคริปโต ข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนหลาย ๆ คนตั้งข้อสงสัยถึงผลกระทบที่จะตามมา

หากเราเข้าใจการกระทำของมหาเศรษฐีผู้นี้ อาจจะทำให้เราเข้าใจของกลไกการทำงานของตลาดมากขึ้นก็เป็นได้

สำหรับใครที่ไม่รู้จัก ชายผู้นี้เป็นที่หวาดกลัวของส่วนใหญ่ในโลกเศรษฐกิจและการเงิน เขาเป็นที่รู้จักกันในนาม   “ชายผู้ทำลายธนาคารกลางแห่งอังกฤษ” เมื่อเขาทำเงิน 1 ล้านดอลลาร์ภายในหนึ่งวันสำเร็จ (วันที่ 16 กันยายน 1992 หรือรู้จักกันดีในชื่อ Black Wednesday) มหาเศรษฐีท่านนี้นับว่ามีอำนาจขนาดที่สามารถสร้างหรือทำลายค่าเงินได้เลยทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่ค่าเงินดิจิทัลก็ตาม นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ที่เคยเข้ามาโจมตีค่าเงินบาทและอีกหลาย ๆ สกุลเงินในทวีปเอเชียจนทำให้เกิดวิกฤตการเงินที่ส่งผลให้ชาวไทยต้องเผชิญความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจในปี 2540 หรือเรียกกันว่า วิกฤติการต้มยำกุ้ง นั่นเอง

ส่วนหนึ่งในความสำเร็จของนาย Soros มาจากความเข้าใจทฤษฎีที่เขาเรียกว่า Reflexivity หรือทฤษฎีการสะท้อนกลับไปมา พูดง่าย ๆ ทฤษฎีนี้กล่าวว่า นักลงทุนไม่ได้ตัดสินใจตาม “ความเป็นจริง” แต่ตัดสินใจตาม “สิ่งที่เขารับรู้ว่าคือความเป็นจริง”

อ้างอิงจากทฤษฎีดังกล่าว ความจริงมี 2 ประเภท ความจริงแบบไม่ลำเอียง (Objective) และความจริงแบบลำเอียง (Subjective) นาย Soros อธิบายว่า ความเป็นจริงแบบส่วนตัวเกิดขึ้นภายในหัวของนักลงทุนเอง แต่ความเป็นจริงแบบไม่ลำเอียงนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ภายนอกตัวนักลงทุนเอง

ทฤษฎี Reflexivity คือการเชื่อมความจริงตั้งแต่ 2 แง่ หรือมากกว่า เพื่อสร้าง Loop สะท้อนไปมาระหว่างตัวนักลงทุน ด้วยวิธีนี้การกระทำจากความจริงในแง่ใดแง่หนึ่ง (Objective หรือ Subjective) จะส่งผลต่อการรับรู้ของนักลงทุน และราคา ในที่สุด นาย Soros กล่าวว่า วิกฤติการเงินระดับโลกในปี 2008 เป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยมของทฤษฎีนี้

ที่มาภาพ Quora

เขาคิดว่า ตลาดชอบอยู่ในภาวะที่แตกต่างไปจากความเป็นจริงอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่มันควรจะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงอย่างชัดเจน

“ทุก ๆ ฟองสบู่จะมีสองสิ่งนี้ประกอบอยู่เสมอ หนึ่งคือ เทรนด์สำคัญหลัก ๆ ที่อยู่เหนือความเป็นจริง และ สองคือ ความเข้าใจผิดในเทรนด์นั้น”

เขาอธิบายว่า เมื่อมีความเข้าใจผิดต่อเทรนด์ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ฟองสบู่ที่รอวันแตกก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่นกัน

แล้วทฤษฎีของเขาสามารถใช้ได้กับตลาดคริปโตอย่างไรล่ะ ?

ทฤษฎีดังกล่าวยิ่งเห็นผลได้ชัดมากขึ้นในตลาดคริปโต ที่นักลงทุนทุก ๆ คนบูชามันราวกับมันคือพระเจ้า พวกเขาเอาแต่กล่าวว่ามูลค่าของพวกมันมีแต่จะเพิ่มขึ้น โดยอ้างอิงจากมูลค่าที่แท้จริงของนวัตกรรมเบื้องหลังโปรเจคต่าง ๆ

เมื่อมีคนมอง Bitcoin ในแง่บวกมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากเหตุการณ์หรือข่าวใด ๆ ก็ตาม ราคาของมันก็จะเพิ่มขึ้นตาม และมีผลส่งต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ เช่นปีที่ผ่านมา เมื่อราคา Bitcoin ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว มันดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ราคาสูงขึ้นไปอีก ราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ไปดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาอีกรอบ และส่งผลต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ นี้เหมาะมากสำหรับนักลงทุนที่มีทุนหนาแบบ Soros ที่จะเทขายเพื่อทำการทุบราคาทำกำไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ ICO ที่ราคาของมันทะยานขึ้นได้ด้วยกระแส Hype โดยที่นักลงทุนไม่ค่อยสนใจนักว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้วของโปรเจคนั้น ๆ เป็นเช่นไร

ไม่มีใครทราบว่า การที่นาย Soros ประกาศว่าจะเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโต หลังจากที่เขาเรียกมันว่าเป็นฟองสบู่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้มีนัยสำคัญอะไร แต่ที่แน่ ๆ เรื่องราวในตลาดคริปโต กำลังน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนว่า เราควรลงทุนในสิ่งที่เราศึกษาแล้วเท่านั้น ไม่ควรลงทุนในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น