<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

อดีตผู้บริหารจากย่าน Wall Street โต้บัญชีทวิตเตอร์ @Bitcoin ถึงข้อดีของ Bitcoin

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคมทีผ่านมา นาย Michael Novogratz อดีตผู้บริหารจากย่าน Wall Street ได้เปิดประเด็นการโต้แย้ง “Bitcoin (BCC) Vs Bitcoin Cash (BCH)” ในทวีตของเขา นาย Novogratz กล่าวว่า Bitcoin คือสกุลเงินคริปโตที่แท้จริง โดยมีการกล่าวอ้างถึง Whitepaper ของ Satoshi Nakamoto และบอกอีกว่า Bitcoin เป็นสกุลเงินที่เป็นเจ้าของแบรนด์ Bitcoin

 

บัญชีทวิตเตอร์ @Bitcoin คือบัญชีที่ถูกนาย Novagratz โพสต์เถียง บัญชีดังกล่าวได้โพสอ้างว่า :

“Bitcoin Cash เป็นสกุลเงินที่เก่าแก่ที่สุด และ Bitcoin เป็นแค่สกุลเงินทดลองเท่านั้น มันไม่ได้มี Whitepaper จริง ๆ”

นาย Novogratz ได้ออกมาป้องกัน, ตอบโต้ และกล่าวถึงข้อดีของ Bitcoin :

“BTC เก็บรับษามูลค่าได้ (Store of value), เป็นทองคำดิจิทัล, และมีมูลค่าตลาดรวมเยอะกว่า Bitcoin Cash (BCH) หลายเท่า”

สำหรับคนที่ไม่ทราบ ในต้นปีที่ผ่านมา นาย Novogratz ถูก Forbes ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่รวยที่สุดในวงการคริปโต เขาได้เข้ามาในวงการในปี 2015 หลังจากที่ได้ทำงาน และเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาอย่างโชกโชนถึง 26 ปี ใน Wall Street, Goldman Sachs และ Fortrest Investment Group นอกจากนี้ อ้างอิงจาก Bloomberg เขาสามารถระดมทุนในโปรเจค Galaxy Digital ได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาที่ราคาของ Bitcoin ล่วงลงอย่างหนักหลังจากขึ้นไปแตะราคาสูงสุดในเดือนธันวาคมปี 2017

จริง ๆ แล้วการโต้เถียงเกี่ยวกับแบรนด์ Bitcoin นั้น เริ่มระอุขึ้นในชุมชน Bitcoin ตั้งแต่ช่วง Hard Fork ในเดือนสิงหาคม 2017 ที่ทำให้ Bitcoin Cash ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว โดย Bitcoin Cash มีความตั้งใจที่จะสร้างการทำธุรกรรมที่ถูกและเร็วกว่า

ในเดือนที่ผ่านมา การต่อสู้กันทั้ง 2 ฝ่าย ระหว่าง BTC และ BCH เกือบลุกลามไปถึงการฟ้องร้องกัน สมาชิกในกลุ่ม pro-BTC ได้สร้างแคมเปญขึ้นมาระดมทุน เพื่อนำไปฟ้องร้องนาย Roger Ver นักลงทุนฝ่าย BCH หลังจากที่เขาได้มีการเชิญชวนผู้อื่นให้ลงทุนใน BCH โดยมีการบิดเบือนว่ามันไม่ต่างอะไรกับ BTC

แต่ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีการฟ้องร้องเกิดขึ้นเนื่องเงินระดมทุนไม่พอ

การทะเลาะกันนี้อาจจะนำพาไปสู่การแข่งขันกันระหว่างนักพัฒนาของสองสกุลเงินนี้ก็เป็นได้ และเมื่อมีการแข่งขันเกิดขึ้น ผู้ที่ได้ประโยชน์คือผู้บริโภคอย่างเรา ๆ นี่แหละ หาก Bitcoin ยังคงแก้ปัญหาการ Scaling ไม่ได้อยู่ล่ะก็ มันก็ไม่สำคัญเลยว่ามันจะมีอายุเท่าไร ในเวลาไม่กี่ปีนี้เราคงได้เห็นกันว่าใครที่เป็น Bitcoin ตัวจริง ต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา CNBC

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น