<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สาเหตุที่เหรียญ Stablecoin สามารถทำลายความเป็น Decentralize ได้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เหรียญ stablecoin ที่พวกเรารู้จักกันดีนั้นก็คือ USDT มันเป็น Cryptocurrency ที่สามารถซื้อเงินดอลลาร์ได้ 1 ดอลลาร์จากตลาด ก่อนที่จะมีการสร้างเหรียญ USDT ออกมา นั่นหมายความว่าเมื่อเงินดอลลาร์นั้นออกมาจากระบบหมุนเวียนของตลาดนั้น เหรียญ USDT จะกลับเข้ามาในตลาดแทน และนั่นทำให้ราคาของเหรียญ USDT สามารถคงตัว (stable) ได้มาเป็นระยะเวลาตลาดหลายปี สำหรับในตลาดคริปโตนั้น การแกว่งของราคาเหรียญในระยะ 10 cents นั้นถือเป็นเรื่องที่พิลึกมาก แต่สำหรับ stablecoin นั้น มันถือเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างยิ่ง

คำถามที่ตามมาคือ เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับ Stablecoin ล่ะ มันไม่ใช่เรื่องดีหรืออย่างไรที่เราจะมีเหียญ cryptocurrency ที่สามารถคงค่าของมันได้อยู่นิ่ง ๆ แม้ว่าตลาดจะมีความผันผวนสูงขนาดนี้

กราฟราคาเหรียญ USDT (Source: coingecko)

คำตอบคือไม่

ราคาของ USDT นั้นร่วงลงถึง 4% ซึ่งนั่นส่งผลทำให้มันสูญเสียมูลค่าต่อสกุลเงินดอลลาร์ที่มาหนุนหลังเหรียญตัวนี้

ประวัติสั้น ๆ ของเรื่องเงิน

หากจะกล่าวถึงเรื่องของเงินแบบง่าย ๆ และสั้น ๆ นั้น เราสามารถจำแนกประเภทของเงินได้ดังนี้

  1. ประเภทที่มีมูลค่าที่แท้จริง (เช่นทองคำ) และ
  2. ประเภทที่ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง (เช่นเงินกระดาษ)

แต่ละประเภทนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน แต่ทั้งสองอย่างนี้ก็ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่ามันมีค่าในตัวเอง โดยเฉพาะแบบที่สอง ที่มันจะเป็นสกุลเงินที่ดีได้ก็ต่อเมื่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล (ผู้ออกสกุลเงิน) นั้นเพิ่มขึ้น และเช่นเดียวกัน หากเกิดสงครามขึ้น หรือเกิดวิกฤตด้านการเมืองขึ้น ราคาของทองคำก็จะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง เนื่องจากความกลัวของผู้คนต่อความมั่นคงของรัฐบาลที่กำลังสั่นคลอน

ราคาของทองคำกับสงคราม

ประวัติสั้น ๆ ของ Cryptocurrency

การที่เงินแบบที่มีมูลค่าในตัวมันเองและแบบที่ไม่มีมูลค่าในตัวมันเองสามารถรองรับกันไปมาระหว่างกันได้นั้น สามารถสร้างโอกาสให้กับผู้ที่มีอำนาจได้อย่างมาก พวกเขาสามารถปั่นกระแสเพื่อก่อสงครามและสั่นคลอนความมั่นคงทางการเมืองเพื่อให้เกิดวัฏจักรแบบดังกล่าวที่วนไปวนมา เพื่อให้ตัวของพวกเขาเองได้ประโยชน์ หากยังจำกันได้นั้น วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2007 นั้นส่งผลทำให้มูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ตกฮวบ ซึ่งสวนทางกับราคาของทองคำและ commodity ประเภทอื่น ๆ

Bitcoin หรือสกุลเงินคริปโตตัวแรกนั้นจึงถือกำเนิดขึ้นมา และนักวิเคราะห์ก็กระโดดเข้ามาจัดหมวดหมู่ให้มันเป็นหนึ่งในสองหมวดหมู่ที่กล่าวมาข้างต้น

บางคนบอกว่ามันเป็นสกุลเงินที่มีมูลค่าที่แท้จริงเพราะว่า

  1. มันมีจำนวน supply ที่จำกัด
  2. มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นตามจำนวนความต้องการของผู้ถือครอง

ในขณะที่บางคนบอกว่ามันเป็นสกุลเงินที่ไม่มีมูลค่าที่แท้จริงเพราะว่า 1. มันสามารถถูกทดแทนได้ 2. มันไม่สามารถจับต้องได้

แม้ว่าบางคนจะบอกว่ามันจะมาเป็นอนาคตของโลกอย่างไรก็แล้วแต่ แต่บางคนก็มองว่าความผันผวนของมันนั้นจะมาเป็นปัญหา สิ่งเหล่านี้ทำให้บางคนออกมาหาข้อสรุปได้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขานั้นเกิดขึ้นมาในช่วงที่เกิดวิกฤตเงินเฟ้อหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งพวกเขาได้เอาทองคำนั้นไปแบคมูลค่าของสกุลเงินที่มีมูลค่ามีความผันผวนน้อยที่สุดในขณะนั้น เพื่อหวังที่จะหยุดสภาวะเงินเฟ้อของมัน ทีนี้ลองหยุดคิดดูสักนิด ในยุคของพวกเรา หากพวกเรากำลังเดินทางซ้ำรอยบรรพบุรุษของเราในตอนนั้นล่ะ ถ้าในขณะนั้นพวกเขามีทอง แล้วตอนนี้พวกเรามีอะไร?

การมาถึงของ Stablecoin

มันขึ้นอยู่กับเวลา ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่ผู้คนจะเริ่มสร้างเหรียญทองออกมา แล้วก็นำไปผู้ไว้กับเงินกระดาษ บางคนพยายามนำมันไปผูกไว้กับทรัพย์สิน มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนักที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กล่าวโทษรัฐบาลจีนในเรื่องของการประกาศลอยตัวค่าเงิน เพราะเมื่อปี 1944 นั้น มีนักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงจาก 44 ประเทศทั่วโลกก็ออกมาทำแบบเดียวกันกับจีน บางทีการสร้างระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่อาจจะช่วยสร้างความมั่นคงของเศรษฐกิจโลกได้

อีกประมาณเกือบ 30 ปีให้หลังจากนั้น ชาวอเมริกันจะต้องเปลี่ยนจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่มาเป็นแบบกึ่ง free float สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะว่ารัฐบาลทั่วโลกทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินของพวกเขาบนตลาดเปิดเสรี

กลับมาที่ stablecoin บ้าง พวกเขาก็อ้างว่าได้ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนด้วยอัตราคงที่ที่สามารถทำให้การแลกเปลี่ยนระหว่างตลาดสกุลเงินแบบเก่า กับ cryptocurrency นั้นเป็นเรื่องง่าย ซึ่งก็ฟังดูดี แต่ทว่า…

ปัญหาของ Stablecoin

ก่อนที่เราจะลงลึกไปถึงปัญหาด้านเทคนิคของ stablecoin นั้น ลองมาพูดถึงปัญหาของมนุษย์กันก่อน

สถาบันการเงินปั่นราคา Stablecoin

เหรียญ USDT เหรียญ stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอ้างอิงจากมูลค่าตลาดรวมได้ถูกกล่าวหาว่าพวกเขาพิมพ์เหรียญ USDT ใหม่โดยที่ไม่ได้นำเอาจำนวนเงินดอลลาร์ในจำนวนที่เท่ากันมารองรับ นี่คือปัญหาในด้านการ audit ซึ่งตราบใดที่ยังคงมีจุดศูนย์กลางคอยกุมอำนาจไว้อยู่ ปัญหาด้าน human error หรือความผิดพลาดจากมนุษย์ และการปองร้ายก็จะยังคงมีอยู่ด้วยเช่นกัน

และแม้ว่าเราจะสร้างระบบ smart contract ที่จะช่วยซื้อเงินดอลลาร์ (หรือสกุลเงินอื่น ๆ) และสร้างเหรียญ stablecoin ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติแล้วก็ตาม แต่ปัญหาด้าน stablecoin ก็จะยังคงอยู่

Stablecoin สร้างผลกระทบต่อความเร็ว

ความรวดเร็วนั้นสามารถถูกวัดได้จากตอนที่สกุลเงินถูกผลัดเปลี่ยนมือไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่ามันเร็วหรือช้าเกินไป ราคานั้นก็จะร่วง เหรียญ stablecoin นั้นจะเป็นตัวทำลายสกุลเงินกระดาษหรือทรัพย์สินออกจาก circulation และสร้างความขาดแคลนแบบเทียมขึ้นมา โดยในทางเทคนิคแล้วนั้น ความขาดแคลนไม่ควรที่จะมีเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะว่ามูลค่าของมันนั้นถูกนำไปผูกไว้กับสกุลเงินกระดาษแบบ 1:1 แล้ว แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คงจะไม่มีอำนาจศาลไหนสามารถสั่งให้ใครรับ cryptocurrency ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่รัฐบาลได้ และนั่นทำให้พวกเขาต้องหันมาใช้เงินดอลลาร์แทน

Source: The Money Enigma

ดังนั้น ถึงแม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1:1 จะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ stablecoin แต่มันก็ทำให้ราคาร่วงลงได้ เนื่องจากว่าความต้องการที่น้อยลง

Stablecoin นั้นไม่ได้มีความเป็น Decentralized

เหรียญ stablecoin ทุก ๆ เหรียญนั้นต่างก็มีผู้สร้าง ซึ่งนั่นไม่ใช่ความเป็น decentralized นอกเสียจากว่าคุณ, ผม และทุก ๆ คนจะมีโอกาสในการสร้าง stablecoin ที่เท่าเทียมกัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากการขุดเหรียญ Bitcoin ที่มันไม่มีความเป็น decentralized จริง ๆ 100% ซึ่งนั่นหมายความว่าเหรียญ stablecoin ที่มีความเป็น centralized สูงนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับธนาคารที่ “ใหญ่เกินกว่าจะล้มเหลวได้” จนกระทั่งพวกมันล้มเหลวในที่สุด

เหรียญ Stablecoin นั้นมีโอกาสเงินเฟ้อ

การสร้างเหรียญ stablecoin ขึ้นมา 1 เหรียญและลบสกุลเงินกระดาษออกไปจากระบบเศรษฐกิจนั้นจะสร้างภาวะเงินเฟ้อขึ้นมา การแลกเปลี่ยน 1 stablecoin และ 1 เงินกระดาษนั้นไม่ถือเป็นการสร้างกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากว่าเงินกระดาษ 1 หน่วยนั้นไม่ได้ถูกลบหรือทำลายออกไปจากระบบการเงิน แต่มันยังคงอยู่ใน ecosystem ซึ่งผู้ออกเหรียญ stablecoin นั้นยังคงเก็บเงินกระดาษไว้ในธนาคาร ที่ธนาคารก็นำไปปล่อยให้คนกู้ต่อไปอีก จนกระทั่งมีการพิมพ์เงินกระดาษเพิ่ม และก็เกิดสภาพเงินเฟ้ออีกเรื่อย ๆ

Stablecoin ลดฐานภาษีลง

ถ้าหากว่าคุณสร้างรายได้จากการเทรด Bitcoin คุณจะต้องจ่ายภาษีให้รัฐบาลจากกำไรของคุณ แต่ถ้าหากว่านักลงทุนซื้อเหรียญ stablecoin ในช่วงที่เกิดภาวะตลาดหมี พวกเขาก็สามารถที่จะซ่อนกำไรเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครรู้ และจะทำให้รัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้น้อยลง และหากไร้ซึ่งภาษีนั้น รัฐบาลก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ และจะพังลงในที่สุด สิ่งนี้แตกต่างจากซิมบับเวและเวเนซุเอลา เนื่องจากว่าในประเทศเหล่านั้น รัฐบาลยังคงอยู่ได้ แต่เศรษฐกิจของพวกเขาได้ล่มสลายไปแล้ว

ทางเลือกอื่น – โทเค็นที่มีสินทรัพย์มาค้ำไว้

หรือเรียกอีกอย่างว่า Security Tokens เหรียญเหล่านี้มีโอกาสสูงกว่าในการหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับ stablecoin เนื่องจากว่ามันถูกหนุนหลังไว้ด้วยสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือเช่นหุ้นของบริษัท, อสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่เป็นที่นิยมมามากกว่า 2,000 ปีอย่างเช่นทองคำ

ด้วยความที่มันมีมูลค่าที่แท้จริงนั้น สินทรัพย์เหล่านี้มีความมั่นคงด้านราคาที่สูงกว่า แต่มีสภาพคล่องที่ต่ำกว่า แต่สำหรับเหรียญโทเค็นที่มีสินทรัพย์มาแบคไว้นั้น สามารถนำมาซึ่งสภาพคล่องโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะกระทบกับราคาเลย หากคุณลองนึกถึงมันดูดี ๆ จะพบว่าสถานการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนที่มี IPO (Initial Public Offerings) เกิดขึ้นมาใหม่ ๆ ถ้าหากว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ คุณไม่สามารถขายมันได้ แต่ถ้าหากว่าคุณแบ่งแยกหุ้นของบริษัทออกมาเป็นหุ้นย่อย ๆ คุณจะสามารถขายบางส่วนออกไปได้ และนั่นก็คือจุดกำเนิดของหุ้น

อย่างไรก็ตาม ในตลาดหุ้นนั้นมันมักจะมีกฎหมายที่เข้มงวดคอยควบคุมอยู่ และมันเป็นเรื่องที่ยากในการซื้อหุ้นในบริษัทหลาย ๆ บริษัทโดยไม่ผ่านข้อกฎหมายหลาย ๆ ข้อเสียก่อนซึ่งก็เป็นเงื่อนไขอย่างน้อยสำหรับนักลงทุนรายย่อย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องมีเหรียญโทเค็นที่เป็นสินทรัพย์ขึ้นมา ด้วยการมีมาตรฐานการทำ KYC (การยืนยันตัวตน) ที่ดี บวกกับการตรวจสอบด้านการฟอกเงินนั้น จะทำให้คุณสามารถซื้อหุ้นของบริษัทในหลาย ๆ บริษัทได้ง่ายดายมากขึ้น

การริเริ่ม

ในขณะที่การสร้างระบบ KYC ที่มีพื้นฐานดีนั้นอาจใช้เวลานับหลายเดือนหรือปี แต่การริเริ่มในครั้งแรกนั้นอาจมีขึ้นโดยทดสอบกับ asset ที่มีการควบคุมที่ต่ำอย่างเช่นทองคำก่อนก็ได้ นาย Stefan Gergely ผู้ก่อตั้งบริษัท Aurus กล่าวว่า

“โดยรวมนั้น สภาพคล่องจะเพิ่มขึ้น ราคานั้นจะมีความคงที่มากขึ้นกว่านี้ ผมยังคาดหวังว่ามันจะมีผลกระทบในระยะยาวอย่างเช่นการลดความเสียหายของวิกฤตทางการเงินลง เมื่อผู้คนได้ทราบถึงตัวเลือกใหม่ ๆ อื่น ๆ ในการลงทุนแทนค่าเงินหลักของพวกเขา”

การมีเหรียญคริปโต ที่มีระบบซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์มาช่วยหนุนหลังนั้นจะช่วยสร้างความยุติธรรมให้กับระบบทั้งระบบผ่าน smart contract ที่จะช่วยทำให้ผู้คนหันมายอมรับเหรียญโทเค็นที่มีสินทรัพย์มารองรับไว้ได้ แต่ความพยายามหยิบยื่นผลิตภัณฑ์ด้านการเงินที่มีความซับซ้อนให้กับผู้คนที่กำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่มีการเป๋าเงินดิจิทัลและ cryptocurrency ถือเป็นการ hard sell ที่ไร้ความสร้างสรรค์อย่างยิ่ง

ปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไข

มันยังมีปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไขอยู่เช่นกัน รวมไปถึงระบบ bounty program ที่ให้เงินฟรีกับผู้คนที่ทำให้เงินนั้นดูไร้ค่าลงไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมได้เหรียญโทเค็น ABC จำนวน 10,000 เหรียญ (เหรียญสมมติ) ที่ผมสามารถนำไปแลกเป็น Ethereum ได้ 1 ETH ผมจะไม่มองว่า 1 ETH นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากว่ามันเป็นสิ่งที่ได้มาฟรี ซึ่งก็ไม่ต่างจาก ICO ส่วนใหญ่ที่แจก airdrop ให้กับผู้คนฟรี ๆ จากจำนวน 2-5% ของเหรียญทั้งหมด ซึ่งส่งผลทำให้ราคาของ ETH ร่วง

มันยังไม่จบลงง่าย ๆ เท่านี้ ระบบเศรษฐกิจแบบห่วย ๆ นั้นมักจะเป็นตัวทำให้นักลงทุนหยุดลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกสรุปไว้โดยนาย Simon Owen หรือที่ปรึกษาในบริษัท Aurus แล้ว โดยเขากล่าวว่า

ผมนั้นไม่เคยชอบพวก bounty campaign เลย ผมเข้าใจว่าทำไมคนออกเหรียญ ICO ส่วนใหญ่ถึงทำมัน แต่นั่นมันดูเหมือนจะเป็นจุดอ่อนมากกว่า นี่คือสิ่งที่ผมมองเห็น

  1. เหรียญโทเค็นส่วนใหญ่ แม้แต่เหรียญ utility token (ที่ผมมักจะมีจุดยืนต่อต้านอย่างชัดเจน) มักจะทำตัวเสมือนเป็นสินทรัพย์หรือหุ้น กล่าวคือมูลค่าของมันควรจะเพิ่มขึ้น หากว่าโปรเจ็คที่อยู่เบื้องหลังมันนั้นประสบความสำเร็จ

  2. ถ้าหากว่าคุณครอบครองเหรียญโทเค็นใดโทเค็นหนึ่งก่อนที่เพื่อนของคุณหรือทั้งเครือข่ายจะได้ครอบครอง คุณจะต้องอยากให้พวกเขาเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียด้วยเช่นกัน เพราะว่าตัวของคุณก็เชื่อมันในโปรเจ็คที่อยู่เบื้องหลังมัน และต้องการจะได้เห็นเพื่อน ๆ ของคุณได้กำไรเหมือนกับคุณ และยังช่วยลดความเสี่ยงได้ด้วย

  3. แต่กระนั้น คุณก็ยังมีแรงจูงใจที่จะสนับสนุนให้คนอื่นซื้อเหรียญโทเค็น ไม่ว่าจะเป็นแรงจูงใจไหนก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นมาบนบริษัทนี้ ในมุมมองของผมนั้น มันมีโอกาสสูงมากที่จะทำให้นักลงทุนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์มูลค่าของโปรเจ็คกลัว ไม่กล้าเข้ามาลงทุน

เส้นทางสู่อนาคต

แม้ว่าจะมีกระเป๋า Bitcoin เพียงอันดับ top 100 ที่มี Bitcoin เก็บไว้เยอะมาก แต่กลุ่มผู้ใช้งาน Bitcoin ก็เชื่อในตัวมัน เพราะว่าเหรียญดังกล่าวนั้นมีความเป็น decentralized สูง Bitcoin นั้นถือเป็นสกุลเงินคู่ขนาน มันไม่ถูกผลกระทบโดยราคาของสกุลเงินกระดาษ การร่วงลงของตลาดคริปโตล่าสุดนั้นอาจเป็นเพียงแค่การส่งพวกเรากลับไปในปี 1944 อีกครั้ง นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้ากำลังพิจารณาถึงวิธีแก้ปัญหาเพื่อช่วยให้เราแล่นเรือผ่านช่วงเวลาอันวุ่นวายเหล่านี้ไปได้ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ส่งผลทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าทางเศรษฐกิจเมื่อช่วงเกือบ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งก็เช่นกันสำหรับ Stablecoin ที่หากไม่ได้รับการเฝ้าระวังที่ดีก็อาจจะทำให้เกิดประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย และทำลายความเป็น decentralzied ที่เรากำลังแสวงหา

บทสรุปก็คือ ผู้คนมักจะคิดว่าการเคลื่อนไหวจากความเป็น centralized ไปสู่ decentralized นั้นมักจะเป็นเส้นตรง ประวัติศาสตร์สอนเราว่ามันเป็นวงกลม ถนนที่มุ่งหน้ากลับไปสู่ centralization นั้นมักจะต้องผ่าน stablecoin ไป เหรียญ ​stablecoin นั้นไม่ใช่สะพาน แต่เป็นเพียงแค่ขั้นบันได Penrose เท่านั้น

บันได Penrose

ที่มา CCN

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น